มูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งหมด (Total Economic Value: TEV)
ในการประเมินมูลค่าผลกระทบภายนอกอันเกิดจากโครงการที่มีต่อสิ่งแวดล้อมนั้นถือได้ว่าเป็นงานสำคัญของนักวิเคราะห์โครงการ
เนื่องจาก สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นสินค้าและบริการที่ไม่มีราคา
เพราะไม่มีตลาดรองรับ (Non-market goods) นอกจากนั้นสินค้าและบริการเหล่านี้ไม่อาจนำกลับคืนมาใช้ได้
(irreversibility) เมื่อถูกทำลายไป
และที่สำคัญคือไม่สามารถผลิตทดแทนหรือเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
มูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าในหน่วยของเงินตรา
การวัดมูลค่าทางเศรษฐกิจถูกนำมาใช้ประเมิน ผลเสีย-ผลประโยชน์ของโครงการ
หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีต่อบุคคล-กลุ่มบุคคล-สิ่งแวดล้อม (Third
party effects) เช่น มลพิษทางเสียง อากาศ น้ำ และอื่นๆ
ผลกระทบเหล่านี้ไม่มีหน่วยนับและไม่มีการโอนในรูปตัวเงินระหว่างผู้ก่อมลพิษกับผู้รับมลพิษ
นักเศรษฐศาสตร์ได้จำแนกมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจของสิ่งแวดล้อมออกเป็น
3 ประเภท อันได้แก่ มูลค่าการใช้ (use value), มูลค่าเผื่อใช้
(option value) และมูลค่าที่ไม่ได้ใช้ (nonuse value)
Total economic value
= actual use value + option value
+ nonuse value
มูลค่าการใช้แท้จริง
(Actual use value) เป็นมูลค่าอันเกิดจากการใช้ประโยชน์หรือสวัสดิการที่บุคคลได้รับจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติถ้ารับประโยชน์โดยตรงเรียกว่า
Direct use value เช่น ความสวยงามจากทิวทัศน์
ความเงียบสงบ
มลพิษอาจเป็นสาเหตุให้สูญเสียมูลค่าการใช้ เช่น มลพิษทางอากาศเพิ่มความเจ็บป่วย ส่วนมูลค่าการใช้ประโยชน์ทางอ้อมหรือ Indirect
use value เป็นการที่ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้ประโยชน์ในฐานะเป็นปัจจัยการผลิต
เช่น มลพิษทางน้ำทำให้ค่า BOD สูงจนมีผลต่อการเพาะเลี้ยงกุ้ง
น้ำมันรั่วไหลสู่ทะเลมีผลกระทบต่อการทำประมง
มูลค่าเผื่อใช้
(option
value) เป็นมูลค่าเผื่อใช้ในอนาคตของบุคคล
โดยบุคคลเต็มใจจ่ายในปัจจุบันเพื่อให้ตัวเองหรืออนุชนรุ่นหลังมีโอกาสใช้สิ่งแวดล้อมในอนาคตได้ถ้าต้องการแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็นในรูปของ use หรือ nonuse value ก็ตาม แต่เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้ใช้จริงหรือไม่ ดังนั้น
ความเต็มใจจ่ายสำหรับการเผื่อใช้ในอนาคตดังกล่าวจึงไม่เท่ากับมูลค่าของสิ่งแวดล้อม
โดยรายจ่ายของบุคคลจะรวมเอาความไม่แน่นอนที่จะมีโอกาสใช้ในอนาคต (expected
value) ไว้ด้วย ความเต็มใจจ่ายซื้อสินค้าสิ่งแวดล้อมนี้
มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจส่วนเกินของผู้บริโภค (CS) ซึ่งบุคคลคาดว่า เขาจะได้รับจากสินค้า ผลประโยชน์ที่บุคคลได้รับจากการซื้อสินค้า
ก็คือ CS แต่เนื่องจากการตัดสินใจตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคาดคะเน
(expected) จึงกล่าวได้ว่า CS
ในที่นี้ก็คือ expected CS : E(CS)
จาก Gross WTP
= market price + CS
แต่ในความเป็นจริงนั้น ทรัพยากรธรรมชาติทุกแห่งมีขนาดและปริมาณลดลง
เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่าจะมีสิ่งแวดล้อมเพื่อใช้ในอนาคตหรือไม่
แนวคิดนี้ได้สมมติว่ามีความไม่แน่นอนในอุปทานสิ่งแวดล้อม และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า
บุคคลส่วนใหญ่ไม่ชอบความเสี่ยงและความไม่แน่นอน (risk averse) ดังนั้นบุคคลจึงเต็มใจจ่ายในจำนวนที่มากกว่า E(CS) เพื่อประกันว่า เขาจะมีโอกาสได้ใช้สิ่งแวดล้อมในอนาคตด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ gross WTP ก็คือราคาเผื่อใช้ในอนาคต (option price) ซึ่ง OV คือ
จำนวนเงินส่วนเกินที่บุคคลยอมจ่ายเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้ใช้สิ่งแวดล้อมในอนาคตด้วย
โดยที่ Option price = E(CS)
+ option value
OP = E(CS)
+ OV
มูลค่าที่ไม่ได้ใช้
(nonuse
value) เป็นการที่ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้ประโยชน์ต่อบุคคลในลักษณะของบุคคลมีความรู้สึกที่ดีเมื่อรับรู้ว่า
สิ่งแวดล้อมยังอยู่ในสภาพที่ดีโดยที่ไม่มีโอกาสใช้ประโยชน์ทั้งในแง่ direct
หรือ indirect use value สะท้อนให้เห็นว่า
บุคคลมีความเต็มใจจ่ายเพื่อปรับปรุงและรักษาสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาจะไม่เคยได้ใช้
มูลค่าที่ไม่ได้ใช้ประกอบด้วย มูลค่าของการดำรงอยู่ (existence value) และมูลค่าของการตกทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง (bequest value)
Existence
value เป็นมูลค่าที่บุคคลได้รับประโยชน์จากการดำรงอยู่ของลักษณะอันน่าพอใจของสิ่งแวดล้อม
ถึงแม้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะไม่เคยมีโอกาสได้พบเห็นหรือใช้ประโยชน์โดยตรงทางกายภาพเลยก็ตาม
แต่ทรัพยากรเหล่านี้มีมูลค่าอยู่ในตัวเอง (intrinsic value) ควรค่าแก่การรักษาไว้
เช่น ปะการังใต้ทะเล
โครงการลงทุนพัฒนาโดยส่วนใหญ่มักก่อให้เกิดผกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งในแง่ของคุณภาพและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น
การตัดสินใจลงทุนในโครงการพัฒนาสามารถกระทำโดยการเปรียบเทียบระหว่างต้นทุนกับผลประโยชน์ของโครงการและ
TEV เราสามารถเขียนกฎพื้นฐานได้ว่า
1) สมควรลงทุนในโครงการพัฒนา ถ้า
(BD - CD
-
BP) > 0
2) ไม่สมควรลงทุนในโครงการพัฒนา ถ้า
(BD - CD
-
BP) < 0
กำหนดให้ BD =
ผลประโยชน์ของโครงการ
CD = ต้นทุนของโครงการ
BP = ผลประโยชน์ของการปกป้องสิ่งแวดล้อม หรือต้นทุนที่จ่ายไปเพื่อรักษา สิ่งแวดล้อมกรณีมีโครงการ
ในความเป็นจริง
TEV เป็นค่าที่ใช้วัด BP
ซึ่งก็คือมูลค่าของผลประโยชน์ทั้งหมดในรูปของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
แต่สิ่งแวดล้อมเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านตลาดจึงไม่มีราคาตลาด ดังนั้น
เราจึงจำเป็นต้องตรวจสอบวิธีการซึ่งสามารถนำมาใช้วัดองค์ประกอบของ TEV
8.2 การประเมินค่าผลประโยชน์ (Valuing Benefits)
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
การประเมินความเสียหายนำมาใช้เพื่อพิจารณาการชดเชยในรูปตัวเงินจากบุคคลหรือกลุ่มคนบุคคลที่ต้องร่วมรับผิดชอบต่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายไปโดยของเสียที่อันตรายที่ปลดปล่อยออกมา
ดังนั้น การดำเนินกิจกรรมของโครงการหรือกิจกรรมใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายออกมาในรูปตัวเงิน
(money
terms) โดยแสดงเป็นค่าของ
1) มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไป
2) มูลค่าของการฟื้นฟูทรัพยากรให้กลับสู่สภาพเดิม
ตารางที่
8.1
ซึ่งแสดงมูลค่าของทรัพยากรและมูลค่าการฟื้นฟู สำหรับกรณี A และ B
|
A
|
B
|
- มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไป
- ต้นทุนการฟื้นฟู
|
$
1.2 ล้าน
$
0.6 ล้าน
|
$
1.6 ล้าน
$
3.8 ล้าน
|
สำหรับกรณี
A มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไปจากน้ำมัน
หรือการปลดปล่อยกากของเสียอันตรายมีค่าเท่ากับ $ 1.2 ล้าน
แต่ต้นทุนของการฟื้นฟูทรัพยากรให้กลับสู่สภาพเดิมมีค่าเพียง $ 0.6 ล้าน ดังนั้น
ต้นทุนการฟื้นฟูจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องวัดค่าความเสียหาย ส่วนในกรณี B มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียไปเท่ากับ $ 1.6 ล้าน
มีค่าน้อยกว่าต้นทุนการฟื้นฟู เพราะฉะนั้น
มูลค่าของทรัพยากรที่สูญเสียจึงถูกนำมาใช้ประเมินค่าความเสียหาย
ปัญหาสำคัญในการประเมินต้นทุนของการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย
เช่น
- การกำหนดระดับคุณภาพที่แท้จริงของทรัพยากรเดิม
- ทางเลือกต่างๆในการฟื้นฟูทรัพยากรภายใต้แนวคิดประสิทธิผลต้นทุน
- การกำหนดทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความเท่าเทียมกับทรัพยากรหนึ่งที่สูญเสียไป
จุดมุ่งหมายของการวัดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการออกมาในรูปตัวเงินนั้น
เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการการลงทุนในอันที่จะฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมใดๆ จะถูกวัดในรูปตัวเงิน
และมูลค่าทั้งหมดของค่าใช้จ่ายจะเป็นตัวกะประมาณมูลค่าของทรัพยากรที่สังคมนำไปใช้
จึงจำเป็นต้องกำหนดผลประโยชน์ของโครงการลงทุนต่างๆ
ให้มากกว่าต้นทุนในการใช้ทรัพยากร
ซึ่งค่าใช้จ่ายควรจะเกิดขึ้นจนกระทั่งผลประโยชน์หน่วยสุดท้ายเท่ากับต้นทุนหน่วยสุดท้าย
(MB
= MC) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการใช้ทรัพยากร
นั่นคือ ณ ระดับนี้ ผลประโยชน์สุทธิโดยรวมจะมีค่ามากที่สุดด้วย
แนวคิดของ
“ผลประโยชน์” (benefit) มีรากฐานมาจาก
“สิ่งที่บุคคลต้องการ” นั่นคือ
ความพึงพอใจของบุคคล ซึ่งสิ่งนี้จะต้องถูกวัดออกมาในรูปผลประโยชน์
โดยการที่บุคคลมีความพอใจสำหรับบางสิ่งอย่างมากจะแสดงในรูปของความเต็มใจที่จะจ่ายสำหรับสิ่งนั้น
(willingness to pay : WTP)
ถ้าบุคคลในสังคมเต็มใจจ่ายในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด
ผลประโยชน์ที่ได้รับจะมีขนาดใหญ่กว่ากรณีใช้ราคาตลาดเป็นเครื่องชี้วัด
ส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่านี้เราเรียกว่าส่วนเกินผู้บริโภคหรือความพอใจส่วนเกิน (consumer
surplus : CS) เนื่องจากบุคคลเต็มใจจ่ายมากกว่าราคาตลาด ดังนั้น
การวัดผลประโยชน์ก็คือการวัดพื้นที่ภายใต้เส้นอุปสงค์ : เส้นโค้งอุปสงค์แบบมาร์แชลล์
(Marshallian demand curve) การเคลื่อนย้ายขึ้นลงตามเส้นอุปสงค์นี้ระดับรายได้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
แต่สิ่งที่เราต้องการก็คือ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ไม่ว่าจะเกิดจากการมีโครงการลงทุน กิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือนโยบายใดๆ
สวัสดิการของสังคม ความกินดีอยู่ดี หรือความพอใจของบุคคลต้องคงที่เท่าเดิมเช่นก่อนการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วความพอใจจะผันแปรเมื่อเคลื่อนย้ายขึ้นลงตามเส้นอุปสงค์ หรือ
เราอาจจะถามผู้บริโภคว่า ถ้าต้องการเพิ่มราคาขึ้นมา ณ ระดับราคา P เขาเต็มใจยอมรับการชดเชย (WTA) ด้วยจำนวนเงินเท่าไร จึงจะไม่ทำให้เขารู้สึกเลวลงกว่าเดิม
นั่นคือมีระดับรายได้เช่นเดิม ดังนั้นสรุปได้ว่ามีสองวิธีที่ใช้วัดผลประโยชน์จากการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
และสองวิธีใช้วัดผลเสียอันเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้แก่
1) WTP เพื่อรักษาผลประโยชน์
2)
WTA เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์
3) WTP เพื่อป้องกันการสูญเสีย
4) WTA เพื่อให้ทนต่อการสูญเสีย
วิธีวัดด้านผลประโยชน์และด้านความสูญเสียมีความแตกต่างกัน
เหตุผลก็คือสำหรับผู้บริโภคหรือบุคคลแล้ว กรณีของผลประโยชน์จะอิงอยู่กับ “แบบแผนของการจ่ายซื้อ” ขณะที่กรณีสูญเสียจะอิงกับ “แบบแผนของการชดเชย” นักเศรษฐศาสตร์บางท่านได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้โดยใช้หลักจิตวิทยาที่ว่า
บุคคลเรามักจะกลัวการสูญเสียมากกว่าการได้รับอะไรใหม่ๆเข้ามาในชีวิต
ดังนั้นโครงการลงทุนต่างๆ ต้องจ่ายเงินค่าชดเชย
ให้แก่ผู้รับผลกระทบด้วยมูลค่าที่สูงกว่ามูลค่าที่บุคคลหรือผู้รับผลกระทบเต็มใจจ่ายเพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เสียหายไปให้กลับมาเหมือนเดิมนั่นคือ
WTA > WTP
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น