ป่าและคนกำลังถูกคุกคาม
"ป่าไม้" ถือเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชที่ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไรก็ตาม ป่าไม้
ไม่ได้มีค่าเป็นเพียงแค่ "ต้นดูดคาร์บอน" เท่านั้น
แต่ป่ายังเป็นแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด
ถือเป็นแหล่งของความหลากหลายทางชีวภาพตามระบบนิเวศน์ในแต่ละพื้นที่
ที่สำคัญ ผืนป่าจำนวนมากเป็นที่อยู่ของชุมชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนเผ่าพื้นเมือง
ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารของชุมชนที่อยู่บริเวณโดยรอบ
ถึงการบุกรุกทำลายป่าจะเป็นปัญหาใหญ่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก
แต่สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ก็คือ
ยังมีชุมชนจำนวนมากซึ่งหาอยู่หากินภายในป่าและรอบๆป่าโดยเฉพาะป่าเขตร้อนใน
ประเทศกำลังพัฒนา
ด้วยวัฒณธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งดำรงค์อยู่ร่วมกับธรรมชาติมาหลาย
ชั่วอายุคน
ชุมชนเหล่านี้เป็นผู้รักษาและดูแลป่าโดยปริยายตามวิถีชีวิตซึ่งสอดคล้องกับ
ธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม
ชุมชนเหล่านี้มักพบปัญหาเมื่อรัฐหลายประเทศประกาศเขตป่าอนุรักษ์ทับซ้อน
ชุมชนและที่ดินทำกินดั้งเดิมโดยไม่เคารพสิทธิของเขาเหล่านั้น
ทั้งที่ในอีกด้านหนึ่งรัฐก็มีการให้สัมปทานกับบริษัทเอกชนในการเข้าไปตัดไม้
หรือจัดการพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์เนื้อไม้ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น
ทุกวันนี้พื้นที่ป่าไม้กำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมต่างๆ ในนามการพัฒนา เช่น
การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว/เกษตรอุตสาหกรรมรุกเข้าไปในพื้นที่ป่า
การสัมปทานเหมืองแร่ทั้งบนดินและใต้ดินในเขตป่า การสร้างรีสอร์ทท่องเที่ยว
เป็นต้น ซึ่งย่อมส่งผลกระทบถึงชุมชนที่อยู่กับป่าด้วย สถานการณ์เหล่านี้
เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงกับประเด็นโลกร้อนโดยตรง
เนื่องจากทำให้วิถีชีวิตชุมชนท้องถิ่นที่เอื้ออิงกับทรัพยากรธรรมชาติและ
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ยั่งยืนน้อยลง
และทำให้ชุมชนมีความสามารถในการตั้งรับปรับตัวกับผลกระทบที่จะเกิดจากการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยลง
ภาคป่าไม้กับความไม่เป็นธรรมในการแก้ปัญาหาโลกร้อน
เมื่อแนวคิดการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขยายไปสู่ภาค
ป่าไม้ผ่านกลไกที่เรียกว่า "เรดด์" (REDD: Reducing Emission from
Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries) หรือ
"การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าใน
ประเทศกำลังพัฒนา" กล่าวคือ
ให้ประเทศกำลังพัฒนารักษาป่าไว้เพื่อเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน
ทั้งนี้รวมถึงกิจกรรมการปลูกป่าหรือฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม
แล้วคำนวนปริมาณคาร์บอนนั้นออกมาเป็นคาร์บอนเครดิต
เพื่อขายให้กับผู้มีเงินซื้อตามกลไกตลาด
หรือมอบให้กับผู้ที่มีเงินให้การสนับสนุนโครงการนั้นๆตามกลไกกองทุน
(ซึ่งปัจจุบันนี้ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้กลไกตลาดหรือกองทุนอย่างใดอย่าง
หนึ่งหรือทั้งสองอย่าง)
เมื่อมีการเริ่มทำโครงการทดลองภายใต้กลไกเรดด์นี้
จึงเกิดปัญหามากมายตามมาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะปัญหา
การช่วงชิงกรรมสิทธิที่ดินของผืนป่าดั้งเดิม
หรือป่าเสื่อมโทรมเพื่อทำโครงการปลูกป่า
เกิดการรอนสิทธิชุมชนดั้งเดิมที่อยู่ในป่าและดูแลรักษาป่าอยู่แล้วและผลัก
ดันให้ชุมชนเหล่านั้นย้ายออกไปเพื่อให้รัฐหรือบริษัทจะได้เข้าไปทำโครงการฯ
ในหลายกรณีพบว่ามีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่และอาวุธกับชุมชน
ซ้ำยังพบว่ามีการตัดไม้ในเขตป่าดั้งเดิมเพื่อให้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรมเพื่อ
ที่จะสร้างโครงการปลูกป่าในพื้นที่นั้นอีกทีหนึ่ง
ซึ่งปัญหาเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศทั้งในทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกา
และเอเชีย
สำหรับประเทศไทยเอง
รัฐใช้เครื่องมือทางกฎหมายฟ้องคดีอาญาและแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายกับชาวบ้าน
ที่มีที่ทำกินและอยู่อาศัยทับซ้อนกับเขตป่า
ด้วยการกล่าวหาว่าทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น (จากการทำไร่ทำสวน)
จนเป็นที่รู้จักกันในนาม "คดีโลกร้อน" ทั้งนี้
ไทยไม่ได้เป็นประเทศแรกที่เอาผิดทางอาญากับเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากที่อาศัย
อยู่ในป่า ในประเทศอินโดนีเซียและส่วนอื่น ๆ ของโลกก็มีการตั้งข้อหา
“บุกรุกพื้นที่อนุรักษ์” เช่นเดียวกัน
แต่อย่างน้อยไทยก็น่าจะเป็นประเทศเดียวที่เจาะจงกล่าวหาว่าเกษตรกรที่มีราย
ได้น้อยและตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม เป็นอาชญากรโลกร้อน ในขณะที่
นักค้าไม้รายใหญ่ เจ้าของสวนป่าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
หรือบรรดาโรงงานอุตสาหกรรม อาคารขนาดใหญ่
หรือหน่วยงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มข้นอื่น ๆ
กลับไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีให้ต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอนหรือการ
ทำลายสิ่งแวดล้อม
ปัญหาจากการดำเนินการเตรียมขายคาร์บอนเครดิตจากป่าเหล่า
นี้
สะท้อนความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากกลไกและนโยบายที่อ้างว่าสร้างขึ้นมาแก้
ปัญหาโลกร้อน
แต่ในทางปฏิบัติกลับริดรอนสิทธิชุมชนท้องถิ่นซึ่งมีกำลังทรัพย์และต้นทุนทาง
สังคมไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับอำนาจรัฐและเงินของบรรษัท
ชุมชนรักษาป่า... เพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม
เครือข่ายประชาชนและคณะทำงานเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรมได้มีข้อ
เสนอเพื่อเร่งแก้ปัญหาโลกร้อนระดับนโยบายในภาคป่าไม้
บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิชุมชนท้องถิ่นในการเป็นเจ้าของและจัดการทรัพยากร
ธรรมชาติทั้งหลายรวมทั้งป่าไม้อย่างยั่งยืน
โดยเห็นว่าควรมีการปฏิรูปกฏหมายด้านทรัพยากรเพื่อคุ้มครองสิทธิชุมชนและชน
เผ่าพื้นเมือง
และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในเรื่องที่ดินระหว่างภาครัฐกับชุมชนอันเนื่องมา
จากการประกาศเขตป่าทับซ้อนป่าชุมชน, พื้นที่ทำกิน, และที่อยู่อาศัยของชุมชน
ด้วยการจำแนกเขตเหล่านี้ออกจากเขตป่าอนุรักษ์ให้ชัดเจนอย่างเร่งด่วนนี่สุด
ในขณะเดียวกันรัฐต้องยุติการไล่รื้อ ฟันทำลายพืชผล
จับกุมดำเนินคดีกับเกษตรกรและชุมชนที่อยู่ในป่าอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้
ด้วยความกังวลว่ากลไกเรดด์อาจถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้กีดกัน
ชุมชนออกจากป่า
จึงเสนอให้ไม่นำกลไกดังกล่าวมาใช้กับพื้นที่ที่ยังมีปัญหาข้อพิพาทเรื่อง
สิทธิที่ดินระหว่างภาครัฐกับชุมชน
การแก้ปัญหาโลกร้อนจะต้องยึดหลักลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกที่แหล่งกำเนิด จึงไม่ควรนำภาคป่าไม้เข้าไปอยู่ในกลไกตลาดเสมือนหนึ่งจะให้ป่ามาลดการปล่อย ก๊าซฯ แทนอุตสาหกรรม โดยเฉพาะป่าไม้ที่มีชุมชนดูแลอยู่ก่อนแล้ว ก็ควรเคารพสิทธิของชุมชนและส่งเสริมสนับสนุนการรักษาป่าอย่างยั่งยืนตามวิถี ชีวิตของเขาเหล่านั้น ทั้งนี้ เพื่อรักษาผืนป่าที่มีอยู่ในปัจจุบันให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืน จึงถึงเวลาต้องยกเลิกการสร้างโครงการที่นำไปสู่การทำลายป่าไม้ เช่น การให้สัมปทานเมืองแร่และโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและป่าสงวน การให้สิทธิเช่าที่ดินป่าสงวนกับภาคเอกชนเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่ ป่าพรุ เป็นต้น
ที่มา http://www.thaiclimatejustice.org/topics/forestry
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น