โลกร้อนกระทบเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร
ขณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกทวีปทั่วโลกกำลังเผชิญกับสภาพ
อากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว (extream weather events)
และภาวะโลกร้อนจะทำให้สภาพดังกล่าวเกิดบ่อยขึ้น สาหัสขึ้น
และคาดเดาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
ภูมิภาคที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงรุนแรงที่สุดคือในเขตร้อน/ใกล้
เขตร้อน (tropics/subtropics)
ดังนั้นประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ของโลกที่ตั้งอยู่ในเขตเหล่านั้นจึงมีความ
อ่อนไหว (vulnerability) ต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยมีภาค "เกษตรกรรม"
เป็นภาคการผลิตที่อ่อนไหวมาก เนื่องเพราะทั้งอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้น
สภาวะแล้งและการขาดแคลนน้ำที่จะเพิ่มขึ้น
และสภาพอากาศที่แปรปรวนนั้นเป็นปัจจัยซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเกษตรกรรายย่อยและชาวประมงชายฝั่งพื้นบ้าน
ซึ่งมีวิถีการผลิตที่เชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมาก
ที่สำคัญ ผลกระทบจากโลกร้อนต่อระบบเกษตรไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับเกษตรกรในชนบทเท่า นั้น แต่ยังส่งผลต่อเนื่องถึงทุกคนบนโลกรวมทั้งคนเมืองด้วย เนื่องจากเกษตรกรรมคือระบบผลิตอาหารให้กับมนุษย์ หากระบบเกษตรล่มสลาย นั่นหมายถึงการสั่นคลอนความมั่นคงทางอาหารของสังคมมนุษย์ด้วย
วิกฤตอาหาร - คนจนอดตาย
วิกฤตสภาพอกาศในปี 2555
ที่ผ่านมาทำให้เราเห็นภาพปัญหานี้ชัดเจนขึ้น
เพราะภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วทุกทวีปกระทบต่อประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตธัญพืชราย
ใหญ่ของโลกเช่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย รัสเซีย และอเมริกาใต้
ส่งผลให้ผลผลิตตกต่ำลงอย่างมาก
ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้นจนเกือบจะเท่าวิกฤตราคาอาหารเมื่อปี 2553
ซึ่งในครั้งนั้นเป็นเหตุให้เกิดจลาจลในกว่า 12 ประเทศ
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ทั่วโลกเริ่มตื่นตัวในเรื่องผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
ต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ
(FAO)
ออกมาเตือนว่าราคาอาหารของโลกไม่มีทีท่าว่าจะลดลงและคาดการณ์ว่าราคาธัญพืช
อาหารหลักของประชากรโลกได้แก่ ข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าว
มีแนวโน้มจะสูงขึ้นกว่า 1 ถึง 2 เท่าตัวภายในปี 2573
โดยมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยถึง 1/3 หรือครึ่งหนึ่ง
และปัจจัยอื่นๆ
เช่นการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกและการขยายตัวของชนชั้นกลางในประเทศกำลัง
พัฒนาที่มีกำลังบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำให้ความต้องการอาหารของโลกเพิ่มสูงขึ้นในขณะที่อุปทานลดลงส่งผลให้ราคา
อาหารโลกโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้
พบว่าผลกระทบจากวิกฤตราคาอาหารนั้นรุนแรงมากขึ้นในประเทศที่นำเข้าธัญญพืช
และอาหารเป็นส่วนใหญ่โดยที่ไม่สามารถพึ่งพาการผลิตในประเทศได้
เพราะราคาอาหารจะผันผวนตามราคาโลก
ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตนี้คือคน จนในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากค่าใช้จ่ายกว่า 75% ของรายได้ที่น้อยอยู่แล้วหมดไปกับการซื้ออาหาร ดังนั้นการที่ราคาอาหารเพิ่มขึ้นเพียงนิดเดียวจะทำให้รายได้ไม่เพียงพอกับ ค่าใช้จ่าย เป็นปัญหาถึงปากท้องและความอยู่รอดของครอบครัว
อุตสาหกรรมเกษตรเคมีซ้ำเติมโลก?
ภาคเกษตรไม่ใช่ภาคที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนเพียงอย่างเดียว
แต่ก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย โดยเฉพาะ "ก๊าซมีเธน"
ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ตามธรรมชาติของแบคทีเรียบางชนิดในสภาวะ
ไม่มีอากาศ (เช่น นาข้าวแบบน้ำขัง การย่อยอาหารของสัตว์) และ
"ก๊าซไนตรัสออกไซด์" ซึ่งเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติในดินและมูลสัตว์
กระบวนการหายใจของพืชปล่อย "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์"
แต่ก็มีการดูดกลับไปใช้ด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสง ทั้งนี้
การไถพรวนเปิดหน้าดินหรือการหักร้างถางพงพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตรเป็นการ
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศด้วย
อย่างไรก็ตาม
ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรปัจจุบันอยู่ที่ระบบเกษตรอุตสาหกรรม
เคมีที่เน้นการผลิตเชิงปริมาณและใช้ปัจจัยเพื่อเร่งผลผลิตอย่างเข้มข้นซึ่ง
ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมหาศาล เช่น
การใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตรเพิ่มการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์
และปศุสัตว์อุตสาหกรรมซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเธนจำนวนมาก
นอกจากนี้การใช้พลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม (เพื่อผลิตปุ๋ยและสารเคมี
เพื่อขนส่ง)
ในกิจกรรมการเกษตรอย่างเข้มข้นก็มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่ม
ขึ้น นอกจากจะเป็นต้นตอการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาลแล้ว
ระบบเกษตรอุตสาหกรรมซึ่งใช้เคมีเข้มข้นยังขูดรีดทรัพยากร
เช่นความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดิน ทรัพยาการน้ำ
ในขณะที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนรวมถึงผู้บริโภค
ยิ่งไปกว่านั้น
ยังส่งผลเชิงลบต่อความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ
เกษตรกรเพราะต้องพึ่งพาปัจจัยการผลิตภายนอกเป็นส่วนมาก ทั้งเมล็ดพันธุ์
ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ฯลฯ
จึงทำให้เกษตรกรปรับตัวได้ช้าเมื่อต้องเผชิญภาวะภัยพิบัติ
เนื่องจากกระบวนการผลิตทางการเกษตรเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับความมั่นคงทางอาหารและวิถีชีวิตของคนชนบท ทั้งการทำเกษตรในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งประชากรจำนวนมากมีอาชีพในภาคเกษตรแต่ โดนกล่าวหาว่าเป็นตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็ป้อนปากท้องของคนทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วที่การผลิตทางการ เกษตร/อาหารน้อยลง ดังนั้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรจึงเป็นเรื่องซับซ้อนที่ควร พิจารณาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามีต้นตอที่แท้จริงมาจากอะไร วิถีเกษตรอย่างไรที่จำเป็น หรืออย่างไรที่เกินจำเป็นไม่ยั่งยืน และควรปรับเปลี่ยนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อ ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตอื่น และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงด้วยองค์ความรู้ท้องถิ่น
เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและภัยพิบัติที่จะเกิดเพิ่มขึ้น
การภาวะโลก้รอนนั้นยากที่จะคาดเดาว่าจะเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไรและเมื่อไหร่
เพราะเป็นเรื่องผลกระทบระยะยาวซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง
การจะให้ภาคเกษตรสามารถตั้งรับและปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
อย่างยั่งยืนจึงต้องมีการเตรียมพร้ออย่างเป็นระบบ
เพื่อให้คาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด
ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่นอกเหนือจากคาดการณ์
ได้ทันท่วงที
ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดมีลักษณะเฉพาะพื้นที่
ทั้งระบบเกษตรกรรมของแต่ละท้องถิ่นยังมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยทางกายภาพ
สังคม และวัฒนธรรม
การให้เกษตรกรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อนจึงต้องคำนึงถึงปัจจัย
เหล่านี้เป็นสำคัญ
ดังนั้นรัฐต้องสนับสนุนและสร้างกลไกการตั้งรับปรับตัวอย่างเป็นรูปธรรมและ
ทันท่วงทีให้กับประชาชนที่อยู่ในกลุ่มอ่อนไหวที่จะได้รับผลกระทบจากการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น
ชุมชนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กและเกษตรกรรายย่อย โดยคำนึงถึงศักยภาพ
องค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนและสังคม
ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมและการสร้างศักยภาพของชุมชนเพื่อเตรียม
รับมือและปรับตัวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
เกษตรกรรมผลิตอาหารเพื่อโลกเย็นที่เป็นธรรม
มีการศึกษาอย่างกว้างขวางว่าเกษตรยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์ลด
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรอุตสาหกรรมเคมี
เช่นในสหภาพยุโรปและสวิตเซอร์แลนด์พบว่าฟารม์เกษตรอินทรีย์ใช้พลังงานเพียง
30-60% ของฟาร์มเกษตรเคมี ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซฯจากการใช้พลังงาน
สำหรับประเทศไทย มีการประเมินเบื้องต้นของมูลนิธิสายใยแผ่นดินว่า
แค่การเลิกใช้ปุ๋ยเคมีในการทำเกษตรอินทรีย์ก็สามารถลดการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกได้ 243.9 กิโลกรัมคาร์บอนต่อไร่ ทั้งนี้
เกษตรอินทรีย์ยังลดการเกิดก๊าซมีเธนด้วยการส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์ที่ใช้
อากาศในการย่อยสลายฯ เปลี่ยนอาหารสัตว์ หลีกเลี่ยงการเผาอินทรีย์วัตถุ ฯลฯ
และลดการเกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์
เนื่องจากไม่ใช้ปุ๋ยไนโตรเจนซึ่งเป็นปุ๋ยเคมี
ปรับโครงสร้างดินด้วยอินทรีย์วัตถุ
ลดการสะสมของไนโตรเจนในดินเกินจำเป็นและลดการเกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ เป็นต้น
อีกทั้งการลดการไถพรวนและการเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดินด้วยระบบเกษตรอินทรีย์
ยังช่วยเพิ่มความสามารถของดินในการตรึงและเก็บกักคาร์บอนตามธรรมชาติ
และช่วยรักษาหน้าดินอีกด้วย นอกจากนี้
ระบบเกษตรยั่งยืนที่เอื้ออิงกับระบบนิเวศน์ของแต่ละท้องถิ่น
โดยเน้นการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์
การรักษาและคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับท้องถิ่น
ยังช่วยรักษาสมดุลย์ของระบบนิเวศน์ ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของเกษตรกร
เป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงทางอาหารของสังคม
ภาคเกษตรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขณะ เดียวกันก็เตรียมรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ได้ โดยที่รัฐควรส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านภาคเกษตรของประเทศไปสู่เกษตรกรรมยั่งยืน และเกษตรอินทรีย์ ที่คำนึงถึงวิถีชีวิตและวัฒณธรรมของชุมชนบนพื้นฐานทรัพยากรและสภาพที่เหมาะ สมของแต่ละท้องถิ่น เพื่อการผลิตอาหารที่ดี ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ต้องให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์/สัตว์พื้นบ้าน เพื่อสร้างความหลากหลายทางชีวภาพและการตั้งรับปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ส่งเสริมการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเป็นมิตรกับสิ่ง แวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ และคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ผลิตอาหารไม่ให้ถูกคุกคามโดย อุตสาหกรรมและการปลูกพืชพลังงาน
ที่มา http://www.thaiclimatejustice.org/topics/agriculture
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น