ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความเป็นธรรมเรื่องโลกร้อน
เวลาเหลือน้อย - อย่าฝากความหวังกับนักการเมืองและนายทุน
เป็นเวลากว่า 20
ปีที่โลกตระหนักว่าวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาระดับโลกที่
ต้องร่วมมือกันแก้ไขและมีการก่อตั้ง
"อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" (UNFCCC: United
Nations Framework Convention on Climate Change) ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1992
เพื่อเป็นเวทีเจรจาของรัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกในการหาทางออกร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม แม้การประชุมภาคีอนุสัญญา (COP: Conference of the Parties)
จะผ่านมา 18 ครั้งแล้ว แต่ดูเหมือนการเจรจาระหว่างประเทศ
ยังคงไม่ออกดอกออกผลเป็นรูปธรรมพอที่จะแน่ใจได้ว่ามนุษย์จะหยุดวิกฤตดัง
กล่าวได้
ทั้งที่เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นผลต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อนซึ่งเลว
ร้ายขึ้นทุกปี
ประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีความรับผิดชอบในการเร่งลดการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจก กลับไม่ดำเนินการอย่างจริงจังในการลดการปล่อยก๊าซฯ
ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ครั้งเริ่มต้นเจรจาอนุสัญญาฯ
ซ้ำร้ายกลับมีความพยายามจากประเทศเหล่านั้นและอุตสาหกรรมสกปรกในการทำให้
เป้าหมายหยุดโลกร้อนร่วมกันของโลกอ่อนแอลง
ด้วยการไม่ยอมผูกพันตัวเองทางกฎหมายด้วยเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซฯ
ซึ่งเป็นกรอบที่ตั้งขึ้นร่วมกันภายใต้พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)
ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นอนุสัญญาฯ แต่อ้างว่าจะดำเนินการเองโดยสมัครใจ
และชักชวนประเทศอื่นๆ ให้เห็นด้วยกับแนวคิด
"ไม่ต้องบังคับ-จะทำเองโดยสมัครใจ" นี้
โดยอ้างว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ประเทศกำลัง
พัฒนาเพื่อไว้ใช้ตั้งรับปรับตัวกับโลกร้อน
แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เห็นเม็ดเงินที่ว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น กลไกตลาด
(ซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต) เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซฯ (offset)
ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ประเทศพัฒนาแล้วซึ่งต้องลดการปล่อยก๊าซ
"มีความยืดหยุ่น" ในการลดมากขึ้น กลับทำให้การดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซฯ
ที่ต้นตออย่างแท้จริงชะงักงัน
ซื้อเวลาให้อุตสาหกรรมสกปรกปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกต่อไป
ในขณะที่โครงการต่างๆ
ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาอันเป็นผลพวงจากระบบดังกล่าวได้ก่อปัญหาต่อ
ชุมชนท้องถิ่นและสภาพแวดล้อม - สวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกัน
ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายก็พยายามยกสิทธิในการพัฒนาให้เท่าเทียมมาเป็นข้อ
อ้างในการเดินหน้าใช้ทรัพยาการและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปอย่างไม่ลืมหูลืม
ตาเพื่อก้าวตามวิถีการผลิตและการบริโภคที่เห็นแล้วว่าทำให้โลกขาดสมดุลย์
ซ้ำยังกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมาก
คงไม่มีใครปฏิเสธอีกต่อไปว่าโลกกำลังร้อนขึ้นจนอาจถึง
หายนะและการหยุดวิกฤตนี้เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของมวลมนุษยชาติ
แต่ประสบการณ์กว่าสองทศวรรตสอนว่าหากเราไม่อยากเห็นหายนะ
เราไม่ควรฝากความหวังไว้ที่การเจรจาระดับโลกที่ขับเคลื่อนโดยรัฐบาลและ
นักการเมืองซึ่งได้รับการสนับสนุนหรือแม้กระทั่งครอบงำโดยอุตสาหกรรมสกปรก
และบรรษัทที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมหาศาล
ผลักดันโลกเย็นที่เป็นธรรมด้วยนโยบายระดับชาติ
ถึงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นมาผลักดันการ เปลี่ยนแปลง และแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับปัจเจคบุคคลจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ทางออกของวิกฤตโลกร้อนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้นต้องการการ เปลี่ยนแปลงทางนโยบายซึ่งเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาต่างๆ เข้ากับมิติการพัฒนารูปแบบใหม่ที่จะนำพาไปสู่สังคมที่ดีและเป็นธรรม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศ เพื่อที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกต่อไป
ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตได้เป็นจำนวน
มากควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสวัสดิการของประชาชนได้
และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
โดยการสร้างนโยบายเพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อนที่ให้ความสำคัญกับการลดโลก
ร้อนที่ต้นตอของปัญหาแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์และสุขภาพของประชาชน
ส่งเสริมและสนับสนุนการตั้งรับและปรับตัวต่อวิกฤตโลกร้อนของกลุ่มคนในสังคม
ที่มีความเสี่ยงและความอ่อนไหวต่อผลกระทบจากโลกร้อนสูง สะท้อนความเป็นธรรม
มีความเชื่อมโยงกับนโยบายอื่นๆ
และตระหนักถึงการมีส่วนร่วมและสิทธิของชุมชนในการเป็นเจ้าของและจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ประเด็นสำคัญ
ประเด็นดังต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญในการรับมือกับวิกฤตโลก
ร้อนในแง่มุมต่างๆ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ
ซึ่งในการกำหนดนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรมจำเป็นจะ
ต้องสร้างความเชื่อมโยงสอดคล้องระหว่างประเด็นและนโยบายรายประเด็นเหล่านี้
เพื่อให้นำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผล
"การซื้อ-ขายคาร์บอนและแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต" - ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่เป็นการประวิงเวลาและทำให้ปัญหาบานปลาย จึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการลดโลกร้อนที่ต้นตอของปัญหา
"พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลและอุตสาหกรรม" -
เป็นตัวการสำคัญของภาวะโลกร้อน
จึงถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ่านจากสังคมที่พึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่
สังคมที่ใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืนซึ่งคำนึงถึงต้นทุนที่แท้จริงทาง
ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างรอบด้าน โดยไม่อ้าง "คาร์บอนต่ำ"
มาใช้เลือกพลังงานที่ไม่ยั่งยืนและอันตราย เช่น พลังงานนิวเคลียร์
เขื่อนขนาดใหญ่ พลังงานจากขยะ และถ่านหิน
พร้อมทั้งหยุดขยายอุตสาหกรรมและโครงการขนาดใหญ่ซึ่งก่อมลพิษ ก๊าซเรือนกระจก
และทำลายป่าไม้และฐานทรัพยากร
"ป่าไม้" -
ถูกมองว่าเป็นแหล่งดูดซับและเก็บกักคาร์บอนซึ่งจะช่วยลดการสะสมของก๊าซ
เรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ
จึงมีความพยายามนำป่าไม้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการชดเชยการปล่อยกคาร์บอน
แต่ป่าไม้มีความสำคัญมากกว่านั้นด้วยเป็นทั้งแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพและ
กำหนดระบบนิเวศน์
ทั้งยังเป็นที่อยู่ของประชากรโลกอีกจำนวนมากซึ่งมักไม่ค่อยมีพื้นที่ในสังคม
การรักษาป่าธรรมชาติอย่างเป็นธรรมจึงต้องเคารพและส่งเสริมสิทธิชุมชนท้อง
ถิ่นในการเป็นเจ้าของและจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
"เกษตรกรรม"
-
เป็นภาคที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจนใน
ภาคเกษตร เกษตรกรรมคือความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลก
ในขณะเดียวกันระบบเกษตรอุตสาหกรรมเคมีเข้มข้นปัจจุบันก็เป็นตัวการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกและก่อปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน
การเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์ที่คำนึงถึงวิถีชีวิตและวัฒ
ณธรรมของชุมชนบนพื้นฐานทรัพยากรและสภาพที่เหมาะสมของแต่ละท้องถิ่น
เพื่อการผลิตอาหารที่ดี ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งยังช่วยให้เกษตรกรสามารถตั้งรับและปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิด
ขึ้นได้อย่างยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น