งินเฟ้อสร้างปัญหามากมายให้แก่สมาชิกของระบบเศรษฐกิจ
เมื่อข้าวของแพงขึ้น
จำนวนเงินเท่าเดิมก็ย่อมซื้อสินค้าได้ปริมาณน้อยลงเป็นธรรมดา
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเงินเฟ้อทำให้อำนาจซื้อลดลง
หรือค่าเงินที่แท้จริงลดลง
อย่างไรก็ดี
มีผลกระทบอีกอย่างหนึ่งที่อาจนึกไม่ถึง
นั่นก็คือเศษเงินเหรียญอาจหายไปจากระบบเศรษฐกิจ
จนทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว
ประเทศที่ประสบปัญหานี้ก็คือฟิลิปปินส์เพื่อนอาเซียนของเราที่ปัจจุบันมีจำนวนประชากรแซงหน้าเราไปมากจนปัจจุบันมีถึงประมาณ
80 ล้านคน บนพื้นที่ดิน 3 ใน
5 ของไทย (ฟิลิปปินส์ประกอบด้วย
7,100 เกาะ รวมพื้นที่ 300,000
ตารางกิโลเมตร)
มะนิลามีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ
คือ 10.3 ล้านคน
หน่วยของเงินคือเปโซ (Peso)
และหน่วยย่อยคือเซนตาโว
(Centavos) (100 Centavos เท่ากับ 1 Peso)
ตอนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี
2540 1 บาท เท่ากับ 1 เปโซ
แต่ปัจจุบัน 1 บาท
เท่ากับประมาณ 1.3 เปโซ (เงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเปโซ)
ฟิลิปปินส์ประสบปัญหาเงินเฟ้อยาวนานกว่าไทย
และตลอดเวลากว่าครึ่งปีที่ผ่านมาก็อยู่ในเรือลำเดียวกับไทย
กล่าวคือ
น้ำมันมีราคาแพงขึ้นมาก
ข้าวของแพงขึ้นจนเศษเหรียญแทบไร้ค่า
โดยเฉพาะเซนตาโวค่าต่ำๆ
และเศษเหรียญในหลายราคาหายไปจากการหมุนเวียน
จนผู้ว่าการธนาคารชาติของฟิลิปปินส์ออกมาขอร้องให้คนฟิลิปปินส์อย่า
"กักขัง" (imprison)
เหรียญกษาปณ์ที่มีจำนวนอยู่ถึง
11,000 ล้านอันไว้ในบ้านเลย
เพราะจะทำให้ประเทศเสียเงินทองโดยไม่จำเป็นต้องผลิตเหรียญออกมาเพิ่มขึ้น
ปัญหาในเรื่องการหายไปของเหรียญกษาปณ์ฟิลิปปินส์มีหลายประการโดยมีสาเหตุอื่นนอกจากเงินเฟ้อเข้ามาเกี่ยวพันด้วย
ถ้าสรุปเป็นประเด็นๆ
ก็จะได้ดังนี้
ประการแรก
ฟิลิปปินส์ผลิตเหรียญกษาปณ์ออกมาเป็นจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบกับธนบัตรเพื่อเป็นเงินให้ประชาชนใช้
เฉลี่ยคนฟิลิปปินส์แต่ละคนมีเหรียญให้ใช้ประมาณ
140 อัน
ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเฉลี่ยของคนในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ
ถึง 3 เท่าตัว (เหรียญคงทนกว่าธนบัตร
ผลิตออกมาหนึ่งครั้งใช้ได้นานกว่าธนบัตรมาก)
ดังนั้น
เมื่อเกิดสิ่งใดขึ้นกับการใช้เหรียญกษาปณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ก็ย่อมเกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ประการที่สอง
เมื่อข้าวของแพงขึ้นโดยเพิ่มทีละหลายเปโซ
เหรียญเซนตาโวจึงไร้ค่าเพราะเอาไปทำอะไรไม่ได้
"ลูกแหง่"
หรือเศษเหรียญที่ทำให้หนักกระเป๋าเหล่านี้จึงถูกทิ้งไว้ในกระป๋อง
ขวด ลิ้นชัก กระปุกออมสิน
กระเป๋า
มุมซอกแซกของบ้าน
หรือเอาไปใช้ประโยชน์อื่น
เช่น ใช้เป็นแหวนรองน็อต
(5
เซนตาโวมีรูที่ใหญ่พอเหมาะกับการใช้เป็นแหวนรองพอดี)
ฯลฯ
เมื่อขาดแคลนเหรียญราคาต่ำก็เลยทำให้ต้องใช้ลูกอมหรือลูกกวาดเป็นเงินทอนแทน
ประการที่สาม
เหรียญเปโซที่ผลิตก่อนหน้า
ค.ศ.2004
ซึ่งมีส่วนผสมของทองแดงร้อยละ
75 และนิกเกิ้ลร้อยละ 25
หายไปจากตลาดเมื่อราคาทองแดง
และนิกเกิ้ลในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นเกือบหนึ่งเท่าตัวจนทำให้มูลค่าเนื้อโลหะที่ใช้ทำเหรียญเปโซทั้งหมดสูงกว่าราคา
1 เปโซหน้าเหรียญ
เศรษฐศาสตร์มีกฎเก่าแก่อยู่อันหนึ่งที่มีชื่อว่า
Gresham"s Law (Thomas Gresham ค.ศ.1519-1579)
ซึ่งบอกว่า "เงินเลวไล่เงินดี"
กฎนี้คืออะไรจะเห็นได้ชัดหลังจากได้ทราบเรื่องราวของเหรียญฟิลิปปินส์
สถานการณ์ที่เหรียญจั๊ตเก่าของพม่าและเหรียญรูปีเก่าของอินเดียที่เป็นเนื้อเงินแท้หายไปจากตลาด
และกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับเครื่องเงินในภาคเหนือในสมัยก่อน
และเหรียญเปโซหายไปดังกล่าวตรงกับกฎนี้
ตราบที่มูลค่าเนื้อโลหะของเหรียญต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาหน้าเหรียญทำให้เหรียญไหลเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ
วิธีป้องกันไม่ให้มูลค่าเนื้อโลหะลดลงก็โดยการจักขอบเหรียญเพื่อป้องกันไม่ให้คนขูดเศษโลหะออกจากเหรียญไป
จนทำให้เหรียญมีขนาดเล็กลงและมูลค่าลดลง
เมื่อไม่นานมานี้เจ้าหน้าที่ศุลกากรฟิลิปปินส์จับคนลักลอบนำเหรียญหนึ่งเปโซที่ผลิตก่อนปี
2004
ซึ่งมูลค่าเนื้อโลหะสูงกว่าราคาหน้าเหรียญหนึ่งเปโซถึงสามเท่ากว่าออกไปญี่ปุ่นโดยใช้คอนเทนเนอร์
(ไม่ได้ขนด้วยกระเป๋าทางอากาศเป็นร้อยลูกนะครับ)
เป็นจำนวน 3-4.5
ล้านอันเพื่อตั้งใจเอาไปหลอมเป็นทองแดงและนิกเกิ้ลขาย
และจะใช้เศษโลหะที่เหลือเอาไปปั๊มเป็นเหรียญเพื่อการเล่นปาชิงโกะ
(เกมหยอดเหรียญและมีลูกเหล็กกลมวิ่งไปลงหลุมที่มีคะแนนต่างกัน
รางวัลเป็นของเล็กน้อยที่เอาไปขายเป็นเงินได้
ปาชิงโกะโดยแท้จริงแล้วจึงเป็นการพนันถูก
"กฎหมาย"
ในสังคมญี่ปุ่น)
การหายไปของเหรียญเปโซทำให้ราคาไม่ลงตัว
เช่น บริการรถสองแถว (ที่เรียกว่าจีพนี่)
ราคาต่ำสุดคือ 7.50 เปโซ
คนโดยสารและคนขับต้องต่อรองกันเสมอว่าจะจ่ายราคาใด
เพราะเหรียญกษาปณ์ 25
เซนตาโวขาดแคลน (เหรียญที่ใช้มี
7 ราคาตั้งแต่ 1
เซนตาโวจนถึง 10 เปโซ
แต่ไม่มี 50 เซนตาโว)
เนื่องจากการมีหวยให้เล่นรายวันในฟิลิปปินส์
หวยถูกกฎหมายที่ออกรางวัลทุกวันเรียกว่า
Jueteng มีราคา 50 เซนตาโว
รางวัลใหญ่คือ 20,000 เปโซ
เป็นที่นิยมของคนทั้งประเทศที่ยังมีคนยากจนอยู่เป็นจำนวนมาก
(มีข้อมูลอ้างว่าครึ่งหนึ่งของประชากรมีรายได้ต่ำกว่า
2 เหรียญสหรัฐต่อวัน
คนเชื่อตัวเลขนี้ทั้งหมดอาจลืมไปว่าคนในชนบทจำนวนมากมีชีวิตอยู่รอดในแต่ละวันได้โดยไม่ต้องใช้เงิน)
จนทำให้เหรียญ 25
เซนตาโวเป็นที่ต้องการอย่างมากเพราะสามารถเอาไปใช้แทงหวยได้
Jueteng
นี้แหละที่มีส่วนทำให้เกิดการต่อต้านประท้วงประธานาธิบดีแอสตราด้าครั้งใหญ่
เพราะมีหลักฐานว่า
รับเงินค่าคุ้มครองไป 545
ล้านเปโซเพื่อให้ออกหวยนี้ได้
จนตกอำนาจไปในปี 2001 (คนไทยที่อ่านตัวเลขนี้แล้วคงขำกลิ้ง)
สิ่งที่ทำให้ "คนโกงเพียงแค่นี้"
ต้องตกอำนาจก็เพราะประชาสังคมของฟิลิปปินส์นั้นเข้มแข็งกว่าเรา
แถมมีรองประธานาธิบดีในตอนนั้นที่มีสมัครพรรคพวกมากมายรุมกันเลื่อยขาเก้าอี้
และมีผู้นำศาสนาที่มีอิทธิพลสูงยิ่งสนับสนุนรองประธานาธิบดีอีกด้วย
ก่อนหน้าที่ผู้ว่าการธนาคารชาติจะออกมาขอร้อง
ก็ได้แก้ไขส่วนผสมของเหรียญหนึ่งเปโซในปี
2004
ให้มีส่วนผสมของเหล็กซึ่งมีราคาต่ำมากขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่มูลค่าเนื้อโลหะสูงกว่าราคาหน้าเหรียญซึ่งจะทำให้
Gresham"s Law ทำงาน (ปัจจุบันเนื้อโลหะของเหรียญหนึ่งเปโซที่ผลิตก่อนปี
2004 มีมูลค่า 3.50 เปโซ)
กล่าวคือ
เหรียญที่มูลค่าเนื้อโลหะสูงกว่าราคาหน้าเหรียญ
("เงินดี") จะหายไป
และมีเหรียญที่มูลค่าโลหะต่ำกว่าราคาหน้าเหรียญ
("เงินเลว")
มาไหลเวียนแทน
ในเดือนกรกฎาคม 2006
นิวซีแลนด์ผลิตเหรียญใหม่เริ่มตั้งแต่ราคา
10 เซนต์ ถึง 50 เซนต์ (ลดการใช้เหรียญ
5 เซนต์เก่าลง)
โดยใช้แผ่นเหล็กชุบเป็นวัตถุดิบซึ่งมูลค่าเนื้อโลหะต่ำกว่าราคาหน้าเหรียญพอควร
อีกทั้งยังเบาและทนทานอีกด้วย
ผู้ว่าการธนาคารชาติฟิลิปปินส์แก้ปัญหาเหรียญกษาปณ์ขาดแคลนอย่างหลักแหลมด้วยการติดต่อ
Catholic Church ของฟิลิปปินส์
ซึ่งได้รับเงินบริจาคในรูปของเหรียญกษาปณ์รวมเป็นเงิน
82 ล้านเปโซ
นับตั้งแต่มีการรณรงค์เพื่อคนจนในปี
2004
เพื่อให้นำมาฝากกับธนาคารเร็วขึ้น
เหรียญกษาปณ์จะได้ไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างไม่ขาดแคลน
ธนาคารชาติฟิลิปปินส์ยังเข็ดไม่หายกับต้นทุนการผลิตเหรียญกษาปณ์ในปี
2005 จำนวน 1
พันล้านเหรียญในราคา 700
ล้านเปซภายใต้สภาวการณ์เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองพอควร
และมีหนี้สาธารณะรวมถึง 4
ล้านล้านเปโซ
ไทยเรายังไม่มีวิกฤตเหรียญกษาปณ์เพราะถึงอย่างไรหนึ่งบาทและห้าสิบสตางค์ของเรายังมีค่า
และคนไทยไม่ชอบใช้เหรียญกษาปณ์จนเงินส่วนใหญ่เป็นธนบัตร
เราเคยมีปัญหาเหรียญกษาปณ์ก็เพียงเมื่อครั้งเหรียญ
2 บาทกับ 5
บาทมีหน้าตาและขนาดใกล้เคียงกันมาก
จนเป็นประเทศเดียวในโลกตอนนั้นที่มีสีเมจิคเขียนบนเหรียญสำทับอีกครั้งว่าเป็น
2 บาท หรือ 5 บาท
เครื่องเคียงอาหารสมอง
มีหลักฐานว่าเมื่อ 50
ปีก่อนคริสตกาลจักรพรรดิเนโร
ผู้เผากรุงโรม และ Alexander The
Great ได้บริโภคของหวาน
ที่ประกอบด้วยหิมะผสมกับน้ำผึ้ง
ถั่ว และผลไม้
ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่ไอศกรีมอย่างแท้จริง
แต่ก็เป็นการปูทางไปสู่ไอศกรีมในเวลาต่อมา
ประมาณ ค.ศ.1640
หัวหน้าเครื่องต้นของพระเจ้าชาลร์สที่หนึ่งของฝรั่งเศสชื่อ
Gerald Tissain
ประดิษฐ์ของหวานที่ประกอบด้วยนม
หรือครีม เป็นน้ำแข็ง
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นคนแรกของโลกที่คิดค้นไอศครีมขึ้น
ตลอดเวลา 200 ปีต่อมา
ไอศครีมเป็นของสูงที่บริโภคกันเฉพาะในหมู่คนรวยชั้นสูงเท่านั้น
จวบจน ค.ศ.1851 (ปีแรกของรัชกาลที่
4 คือ ค.ศ.1850) คนอเมริกันชื่อ
Jacob Fussell
พบว่าวิธีรักษาครีมจากนมที่ดีที่สุดก็คือการแช่เย็นจัดไว้
เมื่อชิมดูก็รู้สึกอร่อยโดยเฉพาะเมื่อผสมน้ำตาลไปด้วย
ขนมหวานชนิดนี้หรือไอศครีมได้รับความนิยมอย่างมากจนเขาตั้งโรงงานผลิตขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ
ภายในเวลาปีเดียว "ขนม"
ของเขาขายดีมากจนต้องเปิดอีกหลายโรงงาน
และเป็นที่นิยมไปทั่วเขตอเมริกาเหนือ
สำหรับไอศครีมชนิดที่วางบนขนมปังกรอบเป็นรูปกรวยที่เรียกกันว่าไอศกรีมโคน
(ice-cream cone) นั้น
เป็นประดิษฐกรรมของ Italo
Marcioni (คนอเมริกันเชื้อสายอิตาลี)
ใน ค.ศ.1896
แต่ไม่ได้รับความนิยมจนกระทั่ง
ค.ศ.1904
ความเป็นมาของ ice-cream sundae
ที่เป็นไอศครีมราดครีมช็อกโกแลต
หรือน้ำผลไม้ข้นหวานนั้น
เล่ากันมาว่าคนขายในรัฐวิสคอนซินในวันอาทิตย์วันหนึ่งมีไอศครีมไม่พอขายจึงเอาอย่างอื่นผสมลงไปด้วยเพื่อเพิ่มปริมาณ
ปรากฏว่าเป็นที่นิยมมาก
เรียกกันว่า Sunday Ice Cream
ต่อมามีผู้เห็นว่า Sunday
เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่คริสต์ศาสนิกชนเข้าโบสถ์
จึงสะกด Sunday
ให้เพี้ยนไปเป็น Sundae
น้ำจิ้มอาหารสมอง
Life must be lived forwards, but it can only be understood
backwards. (Soren Kierkegaard
นักปรัชญาเดนมาร์ก ค.ศ.1813-55)
ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า
แต่จะเข้าใจมันได้ก็ด้วยการดูข้างหลังเท่านั้น หน้า 20
อาหารสมอง วีรกร ตรีเศศ Varakorn@dpu.ac.th
มติชนรายสัปดาห์ วันที่ 11
สิงหาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 26
ฉบับที่ 1356
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น