โดย : อนุสรณ์ ธรรมใจ กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 20 กรกฎาคม 2555
ผมค่อนข้างมั่นใจว่า
ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกกำลังเริ่มปรากฏชัดขึ้นจากสัญญาณหลายประการ
เริ่มต้นตั้งแต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยภาพรวมสหรัฐอเมริกายังฟื้น
ตัวอย่างอ่อนแอ
วิกฤตการณ์ยูโรโซนยืดเยื้อลุกลามแม้นยังไม่มีอาการระบบยูโรล่มสลายปรากฏชัด
ปัจจัยลบภายนอกได้รุมเร้าจนกระทั่งทำให้เศรษฐกิจเอเชียชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ไล่เรียงไปตั้งแต่ จีน (อัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 4 ปี) อินเดีย
(อัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 9 ปี) สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้
เศรษฐกิจหลายประเทศในเอเชียเผชิญแรงกดดันขาลงอย่างชัดเจนโดยเฉพาะประเทศที่
พึ่งพาการส่งออกมากและมีระดับการเปิดประเทศค่อนข้างสูง
การค้าโลกชะลอตัวลงเติบโตเพียงแค่ 5.2-5.3% จากปีที่แล้วที่ขยายมากกว่า 6%
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้อาจตกลงมาต่ำกว่า 2.5%
ประเทศไทยได้มีการจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศและกับหลายภูมิภาค
การเปิดเสรีและการเปิดกว้างทางภาคการค้า ภาคบริการและภาคการลงทุน
ส่งผลให้เศรษฐกิจและการค้าขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ระดับของการเปิดประเทศเองก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยจากสัดส่วนของมูลค่าการค้า
ระหว่างประเทศเทียบกับจีดีพีที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน
อีกด้านหนึ่งโครงสร้างเศรษฐกิจแบบนี้ย่อมเสี่ยงต่อปัญหาที่เกิดจากความ
ผันผวนของปัจจัยภายนอก
เราต้องเตรียมพร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งนี้ให้ดี
สัญญาณชะลอตัวชัดเจนมากขณะเดียวกันก็มีการงัดมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่
ภาษีออกมาปกป้องตลาดภายในมากขึ้น
ไม่ใช่มองโลกในแง่ร้ายเลยเพราะมันคือความจริงที่เผชิญอยู่ตรงหน้า
ไทยค้าขายและส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลัก 14 ประเทศคิดเป็นมูลค่ามากกว่า
78% ประเทศเหล่านี้ล้วนมีเศรษฐกิจชะลอตัวลง
เราจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งนี้
คณะเศรษฐศาสตร์ และศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป
มหาวิทยาลัยรังสิต คาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ. 2555 เศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทย 14
ประเทศจะขยายตัวชะลอลงจากปี 2554
จากปัญหาวิกฤตการณ์เศรษฐกิจและหนี้สินในกลุ่มยูโรโซน
สอดคล้องกับหน่วยงานเศรษฐกิจของทางการ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย
โดยมองว่า เศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.5
(ตัวเลขของทางการจะอยู่ที่ 3.8%) ซึ่ง 14
ประเทศคู่ค้าหลักนี้คิดเป็นสัดส่วนต่อมูลค่าส่งออกสูงถึง 78.7%
ประเทศจีนกลายเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยด้วยสัดส่วนสูงถึง 12% ในปี
พ.ศ. 2554 ประเทศญี่ปุ่นมาเป็นอันดับสองด้วยสัดส่วนการส่งออก 10.5%
ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นอันดับสามด้วยสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 9.6%
ของมูลค่าส่งออกสินค้าโดยรวมปี 2554 หากพิจารณาเป็นกลุ่มประเทศหรือภูมิภาค
ตลาดอาเซียนห้าประเทศหลัก (สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย
และฟิลิปปินส์)
มาเป็นอันดับหนึ่งในฐานะตลาดส่งออกของไทยด้วยสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 16.9
สหภาพยุโรปมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 9.4 เมื่อปี พ.ศ. 2554
การที่ตลาดอาเซียนมีสัดส่วนที่สูงมากและมีแนวโน้มยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อ
เนื่องสะท้อนถึงผลของการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนที่มีต่อการขยายตัว
ของการค้าและการส่งออกได้เป็นอย่างดีและสมาชิกอาเซียนยังคงเดินหน้าสู่การ
เป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) อย่างเต็มรูปในปี
พ.ศ. 2558 อีกด้วย
หากผลกระทบจากวิกฤตการณ์ยูโรโซนลุกลาม ภาคการเงินจะมีความอ่อนไหว
กระทบอย่างรุนแรงและรวดเร็วสุดในระยะสั้น
ควรมีการทดสอบฐานะความแข็งแกร่งไว้ด้วยความไม่ประมาท
แม้นว่าสถาบันการเงินและตลาดทุนไทยจะยังไม่มีปัญหาในเวลานี้ก็ตาม เช่น
เกิดการผิดนัดชำระหนี้จากคู่ค้าในยุโรป สถานการณ์หนี้เสียเพิ่มขึ้น
เกิดปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงิน เป็นต้น ในส่วนของตลาดทุนนั้น ทราบมาว่า
ก.ล.ต.ได้จำลองสถานการณ์ว่า หากดัชนีหลักทรัพย์ปรับลดลงอย่างเร็วและแรง
10-20% ติดต่อกัน 3-5 วัน จะมีผลกระทบอย่างไรต่อระบบชำระราคา
ฐานะการเงินของ บล. และ บลจ. รวมทั้งกองทุนต่างๆ
ผลทดสอบในเบื้องต้นยังไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล
มาตรการสำคัญสำหรับรับมือการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก คือ
การเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทางด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนทางด้านโลจิสติกส์และระบบขนส่ง
การลงทุนทางด้านนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
และยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของไทยระยะยาว
การลงทุนทางด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ภายในระยะสิบปีข้างหน้าจะใช้เม็ดเงิน
ประมาณ 1.86 ล้านล้านบาท
หากเร่งให้เกิดขึ้นภายในปีนี้และปีหน้าได้ก็จะช่วยชดเชยผลกระทบจากภาวะ
เศรษฐกิจโลกถดถอยได้ แนวทางพัฒนาระบบขนส่งของไทยควรเน้นไปที่ระบบราง
พัฒนาให้สามารถเข้าถึงพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญและแหล่งชุมชนสำคัญทั้งหมด
เชื่อมโยงกับประเทศอาเซียนทั้งหมด ระบบรางจะทำให้เกิดการประหยัดพลังงาน
มีความปลอดภัยสูงและต้นทุนต่ำ
การทยอยลงทุนทางด้านระบบขนส่งด้วยเม็ดเงินหลายแสนล้านบาทย่อมเกิดผลต่ออัตรา
การเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านหลายช่องทาง เช่น ช่องทางการลงทุนภาคเอกชน
โดยการลงทุนทางด้านระบบขนส่งจะไปกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนเกี่ยวเนื่อง
ต่างๆ เติบโตเพิ่มขึ้น เช่น เมื่อมีการลงทุนก่อสร้างระบบรางรถไฟความเร็วสูง
ตัดถนนเส้นทางใหม่ๆ
ก็จะเกิดเมืองเศรษฐกิจและชุมชนใหม่เกิดขึ้นตามเส้นทางที่สร้างขึ้นใหม่
ช่องทางการบริโภคภาคเอกชน การจ้างงานที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่งผลทำให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น การบริโภคโดยรวมขยายตัวเพิ่มขึ้น
ช่องทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์
เครือข่ายระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะสามารถลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของภาค
ธุรกิจลงได้อย่างมากซึ่งปัจจุบันจากการศึกษาเรื่องต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดี
พี ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่ที่ร้อยละ
7-10 ต่ำกว่าอย่างชัดเจน
แผนการพัฒนาระบบขนส่งและจราจร พ.ศ. 2554-2563
ได้กำหนดเป้าหมายสำคัญไว้หลายประการ เช่น สัดส่วนการขนส่งสินค้าทางราง
ปัจจุบันร้อยละ 2.2 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5
และสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางน้ำปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 14
จะเพิ่มเป็นร้อยละ 18 เพิ่มสัดส่วนการใช้บริการขนส่งสาธารณะระหว่างเมือง
จากปัจจุบันร้อยละ 41 เป็นร้อยละ 46
และการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลจากปัจจุบันร้อยละ 59 ลดลงเหลือร้อยละ 54
เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสาร ณ
ท่าอากาศยานนานาชาติหลักของประเทศ โดยต้องรองรับได้ไม่น้อยกว่า 60
ล้านคนต่อปี
การทำตามเป้าหมายเหล่านี้ได้
โครงการขนาดใหญ่ทางด้านโครงสร้างระบบขนส่งต้องเดินหน้าเต็มที่
หลายโครงการสะดุดต่อเนื่องมาหลายรัฐบาลแล้ว หวังว่า
รัฐบาลชุดนี้คงจะผลักดันให้เกิดขึ้นเพื่อยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศและชด
เชยการชะลอตัวของภาคส่งออกด้วยการลงทุน ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น