วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมื่อนักเศรษฐศาสตร์เรียกหา “นายอยากรู้อยากเห็น”

โดย : กุลลินี มุทธากลิน  กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 26 กรกฎาคม 2555
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าท่านผู้อ่านจะเคยได้ฟังเพลง “Mr. Curiosity” ที่แปลชื่อเพลงเป็นไทยได้ว่า “นายอยากรู้อยากเห็น” ซึ่งขับร้องโดย Jason Mraz กันหรือไม่ เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนมีโอกาสได้นั่งฟังและพิจารณาถึงเนื้อร้องของเพลง นี้อย่างจริงจังและพบว่าเนื้อหาของเพลงพูดถึงสองด้านของความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพสิ่งที่เหล่าบรรดาศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ใน Econ 4 (ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักเศรษฐศาสตร์ที่ตั้งคำถามต่อเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก และพยายามสร้างเศรษฐศาสตร์ใหม่ขึ้นมา โปรดดูบทความเรื่อง Econ 4 ก่อนหน้านี้ของผู้เขียน) เรียกร้องให้นำกลับเข้ามาสู่เศรษฐศาสตร์อีกครั้ง หลังจากที่สิ่งนี้ห่างหายไปจากเศรษฐศาสตร์มาเป็นเวลานาน อะไรคือชิ้นส่วนที่ขาดหายไปจากเศรษฐศาสตร์
ในภาษาอังกฤษนั้นมีสำนวนที่ว่า “Curiosity killed the cat” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “การอยากรู้อยากเห็นเป็นอันตราย” (ต่อผู้ที่อยากรู้อยากเห็น) แต่ถ้าการอยากรู้อยากเห็นเป็นอันตราย (ต่อผู้ที่อยากรู้อยากเห็น) อย่างที่เนื้อเพลงถามว่า “คิดว่ามันจริงไหมที่พวกนั้นพูดถึงเธอ (ความอยากรู้อยากเห็น) ที่ว่าเธอจะทำร้ายฉัน จริงหรือเปล่า” ผู้เขียนกลับคิดว่า การ (ไม่) อยากรู้อยากเห็นกลับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเศรษฐศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์
ศาสตราจารย์ Roger E. Backhouse แห่งมหาวิทยาลัย Birmingham และศาสตราจารย์ Bradley W. Bateman แห่งมหาวิทยาลัย Denison ได้เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส โดยกล่าวว่า สิ่งที่พวกเขาเห็นว่าห่างหายและร้างไร้ไปจากเศรษฐศาสตร์ ก็คือ จินตนาการของนักเศรษฐศาสตร์ จินตนาการที่ว่า ก็คือ การวาดภาพของระบบเศรษฐกิจที่ควรจะเป็นหรืออยากจะให้เป็น ในอดีต ยุคของสงครามเย็นระหว่าง 2 ค่ายอุดมการณ์ของค่ายเสรีนิยมที่นำขบวนโดยสหรัฐอเมริกาและค่ายสังคมนิยมที่ นำขบวนโดยสหภาพโซเวียต ในบริบทของความขัดแย้ง แข่งขัน และการโฆษณาชวนเชื่อระหว่าง 2 ค่ายอุดมการณ์นั้น เรายังพบเห็นวิชาที่เรียกว่าระบบเศรษฐกิจเปรียบเทียบในการเรียนการสอนทาง เศรษฐศาสตร์ ในวิชานี้นักศึกษาจะได้เรียนรู้ถึงทางเลือกของระบบเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบ รวมถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของระบบเศรษฐกิจแต่ละรูปแบบ
แต่ภายหลังเมื่อเกิดการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและค่ายสังคมนิยม อันนำมาสู่สภาวะที่นักรัฐศาสตร์ชั้นนำอย่าง Francis Fukuyama ประกาศก้องอย่างอหังการว่าเป็น “จุดจบของประวัติศาสตร์” กล่าวคือ ระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างหลากหลายก็แทบจะหมดสิ้นไปเหลือเพียงระบบเศรษฐกิจ เพียงรูปแบบเดียว คือ ระบบทุนนิยม ประหนึ่งว่ามนตราของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กของสหราชอาณาจักร Margaret Thatcher ที่ว่า “ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว” (There is no alternative) หรือ TINA จะกลายเป็นจริงขึ้นมา
สิ่งที่น่าแปลกใจ ก็คือ ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแทบจะกลายเป็นระบบเศรษฐกิจรูปแบบเดียว ที่มีอิทธิพลเสมือนหนึ่งหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง แต่นักเศรษฐศาสตร์กลับไม่สามารถทำความเข้าใจกลไกการทำงานของระบบทุนนิยม อย่างถ่องแท้แบบที่คาดหวังกัน วิกฤติเศรษฐกิจจึงปะทุขึ้นเป็นช่วงๆ และทางเลือกในการจัดการกับวิกฤติเศรษฐกิจในแต่ละครั้งกลับมีข้อจำกัดอยู่บน ข้อสมมติที่ว่าระบบเศรษฐกิจมีเพียงรูปแบบเดียว คือ ระบบทุนนิยม ทางออกหลักของการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจก็อยู่ที่ทางเลือกระหว่างการให้ น้ำหนักระหว่าง ตลาดกับรัฐ (market versus state) เท่านั้น กล่าวคือ ถ้าไม่เป็นเสรีนิยมก็ต้องเป็นเคนส์เซียน นั่นคือ ถ้าไม่เชื่อมั่นในการทำงานของกลไกราคาอย่างเต็มที่ก็ต้องเชื่อมั่นในบทบาท การแทรกแซงของรัฐ (บ้าง) แต่โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใด ต่างก็เป็นการเลือกบนข้อสมมติที่ว่าระบบเศรษฐกิจมีเพียงรูปแบบเดียว คือ ระบบทุนนิยม
นักเศรษฐศาสตร์ที่ไร้จินตนาการเหล่านี้ ได้ขับไล่ “นายอยากรู้อยากเห็น” ออกไปจากเศรษฐศาสตร์เสียแล้ว แต่เหล่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ใน Econ 4 ต้องการเรียกหาให้ “นายอยากรู้อยากเห็น” กลับคืนมา ถ้านักเศรษฐศาสตร์ต้องการออกไปจากวิกฤติและสร้างระบบเศรษฐกิจที่ดีกว่าที่ เป็นอยู่ เศรษฐศาสตร์จำเป็นที่จักต้องทะลวงกรอบแหวกตัวเองออกไปจากข้อสมมติที่ว่าระบบ เศรษฐกิจมีเพียงระบบเดียวคือระบบทุนนิยม และต้องกลับมาจินตนาการถึงระบบเศรษฐกิจที่หลากหลายอย่างที่เคยมีมา เนื่องเพราะว่าระบบที่หลากหลายเปิดให้มีทางเลือกอื่นๆ ที่หลากหลายที่มากไปกว่าการจำกัดตัวเองอยู่กับ “ประสิทธิภาพ” และ “การเติบโต” แต่เปิดทางเลือกไปสู่ “ความเสมอภาค” และ “ความยุติธรรม” หรือทางเลือกที่สร้างสมดุลระหว่างสองด้าน  รวมถึงการออกไปจากกับดักของสองด้านของทางเลือก
ระบบที่หลากหลายเปิดให้มีทางเลือกที่หลากหลายมากไปกว่าการจำกัดตัวเองอยู่ กับการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ แต่เปิดทางเลือกไปสู่การตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ในอนาคต  หรือทางเลือกที่สร้างสมดุลระหว่างสองด้าน รวมถึงการออกไปจากกับดักของสองด้านของทางเลือก ระบบที่หลากหลายเปิดให้มีทางเลือกที่หลากหลายมากไปกว่าการจำกัดตัวเองอยู่ กับการยอมรับในธรรมชาติของความต้องการอันไม่จำกัดของมนุษย์  แต่เปิดทางเลือกไปสู่การตระหนักถึงขีดจำกัดของธรรมชาติ หรือทางเลือกที่สร้างสมดุลระหว่างสองด้าน รวมถึงการออกไปจากกับดักของสองด้านของทางเลือก
การที่นักเศรษฐศาสตร์จะสามารถก้าวข้ามออกไปจากข้อสมมติดังกล่าวจะทำได้ก็โดย การตั้งคำถาม มีข้อสงสัย และมีความอยากรู้อยากเห็น แน่นอนว่า มันอาจจะเป็นการง่ายกว่าที่จะไม่ตั้งคำถาม ไม่มีข้อสงสัย และไม่มีความอยากรู้อยากเห็น แต่ในทางกลับกัน ก็อาจเป็นการยากและอันตรายกว่าที่จะหันมาตั้งคำถาม มีข้อสงสัย และมีความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็เหมือนกับเนื้อเพลงของ “Mr. Curiosity” ที่มีนัยว่า มันไม่ได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดหากความอยากรู้อยากเห็นจะฆ่าเรา แต่การคิดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติและไม่เป็นปัญหานั้นเป็นสิ่งที่ร้ายแรงยิ่ง กว่า เพราะความใฝ่ฝันและแรงบันดาลใจได้หมดสิ้นลงแล้ว
การตั้งคำถาม มีข้อสงสัย และมีความอยากรู้อยากเห็นสร้างความหวังและแรงบันดาลใจ ทำให้ชีวิตมีสีสันดังที่เพลง “Mr. Curiosity” ส่งสารให้แก่ผู้ฟังผ่านเสียงเพลงฉันใด การตั้งคำถาม มีข้อสงสัย และมีความอยากรู้อยากเห็นก็สร้างความหวังและแรงบันดาลใจให้นักเศรษฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ฉันนั้น ในท้ายที่สุดแล้ว นักเศรษฐศาสตร์อาจจะต้องเรียกหา “นายอยากรู้อยากเห็น” ให้กลับคืนมา เหมือนเนื้อเพลง “Mr. Curiosity” ท่อนที่ว่า

Mr. Curiosity
Be Mr. please
Do come and find me
นายอยากรู้อยากเห็น
ได้โปรดเถิด
กลับคืนมาและพานพบฉัน
(กลับมาเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันที)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น