ดร.บัณฑิต นิจถาว รคอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต" กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 30 กรกฎาคม 2555
ช่วงนี้ผมชีพจรลงเท้า ล่าสุดอาทิตย์ที่แล้วไปสิงคโปร์
ไปเป็นประธานการประชุมการบริหารเงินลงทุนด้านสินทรัพย์และหนี้สินเอเชีย
2012 ซึ่งปีนี้ก็ไปเป็นปีที่สอง
สิงคโปร์ยุคนี้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเข้าออกมาก
เพราะมีร้านรวงน่าสนใจ ร้านอาหารก็ดีขึ้น แต่ค่าครองชีพก็สูงขึ้น
ผมไปคราวนี้ถือโอกาสทำธุระเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูงทั้งในภาคราชการ
ตลาดการเงินและแวดวงวิชาการ ก็ได้พบเกือบครบตามที่ตั้งใจไว้
แต่ก็เหนื่อยเพราะพยายามทำหลายๆ อย่างภายในสองวัน
การประชุมปีนี้มีผู้เข้าร่วมจากประเทศต่างๆ
ทั้งนักบริหารเงินลงทุนจากภาคเอกชน และภาครัฐเกือบร้อยคน
ซึ่งที่ประชุมได้หารือในสามหัวข้อ คือ ความท้าทายทางเศรษฐกิจ
ทิศทางการบริหารเงิน และการบริหารความเสี่ยง แต่ปีนี้
บริบทการหารือค่อนข้างจะยาก
เพราะการประชุมอยู่ในช่วงที่ระบบเศรษฐกิจการเงินโลกมีปัญหาและมีความท้าทาย
มาก โดยเฉพาะความเปราะบางของปัญหาในยุโรปที่ยังแก้ไขไม่ได้
และกำลังมีผลอย่างสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ขณะนี้
พูดได้ว่ามีพัฒนาการอยู่สามด้าน
ที่กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลก
ด้านแรก ก็คือ
ความเสี่ยงที่นับวันจะมีมากขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของระบบเงินยูโร สอง ก็คือ
การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายประเทศ
รวมทั้งประเทศตลาดเกิดใหม่ และ สาม
ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายหรือมาตรการ
ที่ผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจจะใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เศรษฐกิจโลกมีอยู่
ความไม่ชัดเจนด้านนโยบายขณะนี้ เป็นปัจจัยที่กระทบตลาดการเงินโลกมากที่สุด
และความไม่ชัดเจนก็มี ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศตลาดเกิดใหม่
ในกรณีของ ยุโรป ความไม่ชัดเจน ก็คือ
ขั้นตอนหรือมาตรการที่รัฐบาลของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปจะใช้เพื่อปูทางไปสู่
การรวมตัวของยุโรป ในด้านการเงินและการคลังที่เข้มแข็งขึ้น
เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ที่ยุโรปมีอยู่ ว่าจะมีรายละเอียดอย่างไร
จะน่าเชื่อถือหรือไม่
และจะสามารถรักษาความเชื่อมั่นของตลาดต่อการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้แค่ไหน
ในกรณีของ สหรัฐ
ความไม่ชัดเจนอยู่ที่วิธีการที่รัฐบาลสหรัฐจะใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ
รวมถึงแนวทางที่จะเสริมสร้างฐานะการคลังของสหรัฐให้มีความยั่งยืนในระยะยาว
อย่าลืมว่า ปีที่แล้ว
ตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐได้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงเป็นครั้งแรก
ซึ่งถ้าแนวทางแก้ไขปัญหาการคลังสหรัฐยังไม่ชัดเจน
โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี
แรงกดดันตลาดต่อปัญหาหนี้สาธารณะในสหรัฐก็คงจะกลับมาอีก และในกรณีของประเทศ
ตลาดเกิดใหม่ ความไม่ชัดเจน ก็คือ ประเทศเหล่านี้จะใช้นโยบายอย่างไร
ที่จะดูแลเศรษฐกิจในภาวะที่การค้าโลกชะลอตัวลงมาก จากปัญหาในเศรษฐกิจโลก
และในภาวะที่ความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศมีมากขึ้น
สำหรับตลาดการเงิน
ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจโลกและการแก้ไขปัญหาของภาคทางการที่ได้ทำไป
ได้ทำให้ตลาดการเงินโลกเปลี่ยนไปมาก ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ตราสารหนี้ภาครัฐ
โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลของประเทศอุตสาหกรรมหลัก
ที่เคยถือเป็นตราสารที่มีความปลอดภัย มีความเสี่ยงต่ำ ขณะนี้
ตราสารหนี้เหล่านี้ไม่ได้เป็นตราสารที่ปลอดความเสี่ยง (Risk-free)
เหมือนเดิม แต่เป็นตราสารที่สามารถมีปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ได้ เช่น
ในกรณียุโรปขณะนี้ และความเสี่ยงที่มีมากขึ้นของตราสารหนี้ภาครัฐ
ก็ทำให้ตลาดต้องปรับราคา (Re-pricing) ตราสารทางการเงินอื่นๆ ตามไปด้วย
ตามความเสี่ยงเมื่อเปรียบเทียบกับการถือครองตราสารหนี้ภาครัฐ
แต่การปรับราคาก็ทำได้ไม่ง่าย
เพราะตลาดการเงินโลกปัจจุบันถูกบิดเบือนจากนโยบายของทางการ
โดยเฉพาะการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงินโลกเป็นจำนวนมาก
ระบบการเงินโลกจึงเต็มไปด้วยสภาพคล่องที่กดดันให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์
ต่ำ ทั้งๆ
ที่ปัญหาและความเสี่ยงที่มีอยู่ควรผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น
ความไม่สอดคล้องนี้
เห็นได้ชัดจากอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศยูโรโซนที่แตกต่างกันมาก
ระหว่างอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่มีปัญหาหนี้
กับอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่ไม่มีปัญหาหนี้
โดยความแตกต่างสะท้อนความเสี่ยงที่แต่ละประเทศมี กล่าวคือ
ประเทศที่ตลาดมองว่าตราสารหนี้มีความเสี่ยงด้านการชำระหนี้น้อย เช่น
เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และกลุ่มประเทศยุโรปทางเหนือ
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลจะปรับลดต่ำมาก จนบางประเทศให้ผลตอบแทนติดลบ
ขณะที่อีกข้างหนึ่งของตลาด คือ กลุ่มประเทศยุโรปตอนใต้ที่มีปัญหาหนี้ เช่น
สเปน อิตาลี กรีซ และโปรตุเกส
อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลได้ปรับสูงขึ้นโดยตลอด
เพราะตลาดมองว่าเป็นตราสารที่มีความเสี่ยง
ดังนั้น ตลาดการเงินโลกขณะนี้จึงอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติ
อัตราผลตอบแทนของการลงทุนในตราสารที่ถือว่าปลอดภัยต่ำมาก
จนเป็นแรงกดดันให้ผู้บริหารเงินลงทุน โดยเฉพาะเงินลงทุนภาครัฐ
ต้องปรับพอร์ต
เพื่อให้การลงทุนให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นภายใต้ข้อจำกัดด้านการถือความเสี่ยง
ที่มีอยู่ และเมื่อเร็วๆ นี้
การสำรวจการลงทุนของนักลงทุนสถาบันที่เป็นบริษัทประกันกว่า 150 รายทั่วโลก
ทำโดยบริษัทจัดการลงทุน GSAM ในเดือนพฤษภาคม ภายใต้หัวข้อ
“มองหาผลตอบแทนในภาวะตลาดที่ไม่ปรกติ”
ก็ให้ข้อสรุปที่น่าสนใจว่าประมาณร้อยละ 75
ของนักบริหารเงินต้องการที่จะลดหรือคงระดับความเสี่ยงที่มีอยู่ขณะนี้ไว้
ขณะที่อีกร้อยละ 25 ต้องการเพิ่มระดับความเสี่ยงเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
การเพิ่มความเสี่ยง ก็คือ
การขยายขอบเขตการลงทุนไปสู่ตราสารหรือสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น
แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งในเรื่องเครดิต สภาพคล่อง และอัตราแลกเปลี่ยน
สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นโจทย์กดดันการบริหารเงินลงทุนขณะนี้ ซึ่งคำถามที่ตามมา ก็คือ แล้วนักลงทุนหรือนักบริหารเงินลงทุนควรทำอย่างไร
ในการประชุมอาทิตย์ที่แล้ว ไม่มีคำตอบหรือข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องนี้
หลายคนที่เข้าร่วมประชุมยอมรับว่า ยังไม่มีคำตอบ
เพราะเกมการลงทุนได้เปลี่ยนไปมาก ทำให้ลงทุนยากขึ้น
ผมเองก็ยอมรับว่าเวลานี้การบริหารเงินลงทุนยากขึ้น
แต่เท่าที่นั่งร่วมประชุมอยู่วันครึ่ง ก็ไม่ลืมที่จะมีข้อคิดมาฝากผู้อ่าน
“เศรษฐศาสตร์บัณฑิต”
ข้อคิดแรก ก็คือ ในภาวะที่ตลาดมีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
ประเด็นที่ต้องนึกถึงอยู่ตลอด ก็คือ
ในภาวะเช่นนี้การรักษามูลค่าของเงินลงทุนจะสำคัญเท่ากับหรือมากกว่าอัตราผล
ตอบแทนที่จะได้จากการลงทุน พูดง่ายๆ ก็คือ Return of the money จะสำคัญกว่า
Return on the money ในภาวะตลาดแบบนี้
สอง การขยายการลงทุนไปสู่ตราสารหรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น
แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น เป็นเรื่องที่ควรพิจารณา
แต่ควรไปมากที่สุดเท่าที่เราจะเข้าใจและจะสามารถบริหารความเสี่ยงใหม่ที่
เกิดขึ้นได้ ภายใต้ข้อจำกัดของพอร์ตความเสี่ยงที่มีอยู่
เพราะการเข้าไปลงทุนในตราสารหรือสินทรัพย์ใหม่ที่เราไม่มีประสบการณ์
โดยไม่ศึกษาประเด็นความเสี่ยงอย่างเพียงพอ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนัน
ซึ่งไม่ใช่วิสัยของการบริหารเงินลงทุนอย่างมีธรรมาภิบาลที่ดี และ
สาม ในภาวะตลาดแบบนี้
อาจจำเป็นที่การลงทุนจะต้องมองภาพการลงทุนในเงื่อนเวลาที่ยาวขึ้น ก็คือ
ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าระยะสั้น
ก็หวังว่าข้อคิดที่นำมาฝากเหล่านี้จะเป็นประโยชน์
ที่มา http://www.nidambe11.net/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น