โดย : รุจา อดิศรกาญจน์, จารุพรรณ วานิชธนันกูล กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 24 กรกฎาคม 2555
การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันจากการสำรวจของ IMD World
Competitiveness 2012 จำนวน 59 ประเทศ ที่เพิ่งประกาศเมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม
2555 พบว่าอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงมาอยู่อันดับที่ 30
จากอันดับที่ 27 ในปีก่อน และมีอันดับแย่ลงในทุกด้าน
โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ในอันดับที่ 49
แย่ลงต่อเนื่องติดต่อกันนับแต่ปี 2552
โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยแย่ลง ก็คือ
ไทยมีการลงทุนน้อยเกินไปเป็นระยะเวลานาน
สถานการณ์การลงทุนของไทย
เมื่อพูดถึงการลงทุน เชื่อว่าทุกคนคงอยากเห็นประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้น
แต่เราคงไม่อยากเห็นการลงทุนที่มากเกินไปถึงร้อยละ 40 ต่อ GDP
เหมือนช่วงก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540
เพราะในที่สุดมันก็นำมาซึ่งบทเรียนราคาแพงที่คนไทยยังจำกันได้ดี
และหลังจากนั้น ตัวเลขดังกล่าวก็ไม่เคยปรากฏขึ้นในเศรษฐกิจไทยอีกเลย
เพราะในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการลงทุนของไทยต่อ GDP
ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค เช่น
หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ค่าเฉลี่ยของการลงทุนต่อ GDP ของไทยในปี
2549-2554 อยู่ที่ร้อยละ 22 ซึ่งการลงทุนของไทยจะอยู่
ต่ำกว่าสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ไม่ต้องพูดถึงเวียดนาม จีน
และอินเดีย ที่มีการลงทุนสูงกว่าร้อยละ 30 ของ GDP
ไทยจะดีกว่าก็เพียงฟิลิปปินส์เท่านั้น
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ คือ
ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศและการขาดเสถียรภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้น
เป็นระยะๆ ซึ่งส่งผลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ
เมื่อผนวกกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่วิกฤติการเงินโลกปี
2551
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลบั่นทอนความเชื่อมั่นและการตัดสินใจลงทุนในโครงการ
ใหม่ๆ ของนักธุรกิจ
ขณะที่ภาครัฐเองก็จัดสรรงบลงทุนเมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจในสัดส่วนที่
น้อยลงเรื่อยๆ
คำถามต่อมา คือ แล้วระดับการลงทุนรวมต่อ GDP ของไทยควรจะเป็นเท่าไร
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้มีงานศึกษาระดับการลงทุนที่จะทำให้เศรษฐกิจไทย
เติบโตอย่างมีศักยภาพ และพบว่าการลงทุนรวมต่อ GDP
ของไทยควรจะอยู่ในระดับร้อยละ 28-30 เทียบกับปัจจุบันที่ร้อยละ 22
จึงเห็นได้ชัดว่า
เรายังสามารถสนับสนุนให้การลงทุนเพิ่มขึ้นได้โดยไม่สร้างความเสี่ยงต่อ
เศรษฐกิจโดยรวม
หนทางเพิ่มการลงทุน
หนทางเพิ่มการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยนั้น
นอกจากการสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตแล้ว
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการลงทุน
คือการทำหน้าที่ของภาครัฐ
โดยรัฐควรทำหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนผ่านการสร้างบรรยากาศให้
เอื้อต่อการลงทุน
โดยเฉพาะการสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและความชัดเจนของนโยบาย นอกจากนี้
รัฐสามารถเป็นผู้ลงทุนเองได้
ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเม็ดเงินในโครงการลงทุนใหม่
การจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
หรืออาจร่วมลงทุนกับเอกชนทั้งด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
โดยเฉพาะด้านการขนส่งมวลชน การสื่อสารโทรคมนาคม การวิจัยและพัฒนา
และการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันได้อย่าง
ยั่งยืน และยังมีผลชักนำให้เกิดการลงทุน (Crowding in)
ไปสู่ภาคเอกชนได้มากขึ้นอีกด้วย
สำหรับ ธปท.
สามารถมีบทบาทในการสนับสนุนการลงทุนได้ผ่านการรักษาเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจ
และการเงิน
เนื่องจากนักลงทุนจะประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว
และคงไม่มีนักลงทุนรายใดประเมินการลงทุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจเพียงปีใดปี
หนึ่ง หรือลงทุนในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตแบบสามวันดีสี่วันไข้เป็นแน่
ดังนั้น
การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนทำธุรกิจ
จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้อีกทางหนึ่ง
โดยสรุปแล้ว
จะเห็นว่าไทยยังสามารถลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของ
ประเทศในเวทีโลกได้อีกมาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน
ก่อนที่จะรั้งท้ายไปมากกว่านี้
โดยภาครัฐจะต้องเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการลงทุนและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ
การลงทุนของภาคเอกชน
ซึ่งหากสามารถผลักดันการลงทุนในประเทศให้เกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้พัฒนา
ได้อย่างยั่งยืน
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลจึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น