เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์กับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ที่มา: http://www.rmutphysics.com/charud/oldnews/192/science/TI2econD.htm
จากอดีต
จนถึงปัจจุบันพบว่าปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมและการเสื่อมโทรของทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ประโยชน์และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ได้ทวีความรุนแรงและเกิดการแพร่กระจายครอบคลุมไปทั่วโลก
ซึ่งเกิดจากการพัฒนาและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ได้ก่อให้เกิดผลกระทบสู่ภายนอกซึ่งผลกระทบสู่ภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพ
ของสิ่งแวดล้อมนั้น
เกิดขึ้นเมื่อบุคคลหรือกลุ่มที่ก่อให้เกิดผลกระทบนั้นไม่สนใจถึงต้นทุนและผล
ตอบแทนที่จะมีขึ้นกับสังคม เช่น
การที่โรงงานอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำต่อท่อระบายของเสียจากการผลิต
ลงสู่แม่น้ำโดยปราศจากการติดตั้งเครื่องกำจัดของเสียโดย
หลักทางทฤษฎีแล้วการนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ก็เพื่อที่จะนำค่าหรือราคา
ของสิ่งแวดล้อม เข้าไปบวกไว้ในราคาของสินค้าในระบบของตลาด
หรือการให้มูลค่า/ราคาต่อทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
และโดยหลักทางทฤษฎีแล้วมาตรการทางเศรษฐศาสตร์จะสามารถแสดงบทบาทได้สมบูรณ์
เมื่อระบบตลาดเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์
มาตรการทางเศรษฐศาสตร์(Economic Instruments)
มาตรการหรือเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์(Economic Instruments) เป็น
มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งได้มีการพัฒนาและนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่ง
แวดล้อมซึ่งเกิดจากการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น
มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ
(1) มาตรการที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์(Economic Incentives) ได้แก่ มาตรการยกเว้นด้านภาษี (Tax Exemptions) มาตราการการลดหย่อนทางภาษี (Tax Reduction) การให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน/การลงทุน (Financial Subsidies) ด้าน
เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม
และการให้สิทธิพิเศษด้านการลงทุนซึ่งใช้เครื่องจักร/โรงงานที่ไม่ก่อไห้เกิด
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การวางเงินค้ำประกันซึ่งสามารถเรียกคืนได้ (Deposit-refund Schemes) และ
(2) มาตรการที่ลดแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Disincentives) ส่วนมากเป็นระบบซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักการผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย (Polluter Pays Principle) เช่น ระบบการกำหนดภาษีสิ่งแวดล้อม (Environmental Tax) การเก็บค่าธรรมเนียมมลพิษ (Environmental/Pollution Tax) การใช้นโยบายการกำหนดราคา (Pricing Policy) ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยมลพิษ (Transferable Policy Rights หรือ Marketable or Tradable Permits/Quotas) การเก็บค่าทิ้งกากของเสียและปล่อยน้ำทิ้ง (Effluent/ Discharge Fees) เป็นต้น
มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีการนำมาใช้ในการจักการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยเรานั้นได้นำเอาทิ้ง 2 วิธี มาใช้ คือ (1) มาตรการ
จูงใจทางเศรษฐศาสตร์ ตัวอย่างเช่น
การใช้เงินช่วยเหลือด้านการลงทุนเพื่อการสร้างระบบบำบัดของเสียที่เป็นพิษ
และของเสียที่เป็นสารพิษ โดยมีการใช้วิธีการเก็บค่าบริการ (Service Charges) ในการใช้บ่อบำบัดน้ำเสียรวมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และรวมไปถึงการสร้างความแตกต่างของราคา (Price Differentiation) ในกรณีของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผสมสารตะกั่ว และ (2) มาตรการ
ที่ลดแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ ตัวอย่างเช่น
มาตรการด้านด้านภาษีมลพิษมาบังคับใช้ ในกรณีของรถจักรยานยนต์สองจังหวะ
เครื่องปรับอากาศแบตเตอรี่ และหินอ่อนและหินแกรนิต
(ซึ่งกรณีของหินอ่อนและหินแกรนิต ได้ถูกยกเลิกไปในปี 2540) ณ
ปัจจุบันการจักการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืนในประเทศ
ไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2540 ซึ่ง
ส่งผลให้ องค์กรส่วนท้องถิ่น เช่น อบต.
และชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิในการอนุรักษ์การจัดการ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้องค์การเอกชนต่าง ๆ
ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นในการกระตุ้นให้เกิดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ให้ยั่งยืน โดยที่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น