๑. คำนำ
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน มีฝนตกโดยเฉลี่ยั้ทงประเทศประมาณ๑๗๐๐
มม/ปี คิดเป็นปริมาตรน้ำฝนได้ประมาณ ๘๐๐, ๐๐๐ ล้านลูกบาสก์เมตร/ปี (Million
Cubic Meters ต่อไปนี้จะเรียกย่อว่า MCM) ระเหยสู่บรรยากาศ ๖๐๐,๐๐๐ MCM/ปี
เป็นน้ำท่า ๒๐๐,๐๐๐
MCM/ปีส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่สามารถเก็บไว้ในเขื่อนใหญ่ ๑๔ เขื่อน
และเขื่อนเล็กๆมากกว่า๕๐ เขื่อน น้ำเหล่านี้เกิดจากฝนตกประมาณ ๖ เดือน/ปี
หรือประมาณ ๑๘๐
วัน/ปีซึ่งฤดูฝนจะเริ่มในช่วงปลายเดือนเมษายนของทุกปีสำหรับภาคเหนือ
ตะวันออกเฉียงเหนือ กลาง ตะวันตก และตะวันออก
แล้วสิ้นสุดในช่วงปลายเดือนกันยายน สำหรับภาคใต้นั้น
ฤดูฝนจะเริ่มเดือนกันยายนและสิ้นสุดเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม
บางพื้นที่บางจังหวัดอาจมีฝนตกก่อนหรือหลังกว่านี้บ้าง
โดยเฉพาะปัจจุบันที่อยู่ในภาวะโลกร้อน
มักจะมีความคลาดเคลื่อนเวลาตกและสิ้นสุดของการตกของฝนจนยากที่จะคาดเดาได้
แต่ในช่วงสิบปีมานี้
ประเทศไทยมีแนวโน้มของปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่และแห้งแล้งรุนแรงในฤดู
แล้ง เช่นในปีพ.ศ.๒๕๕๔ มีฝนตกมากกว่าปกติประมาณ ๓๐
เปอร์เชนต์และตกช่วงสั้นแต่intensityสูง
ทำให้เกิดวิกฤตอุทกภัยในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางที่อุดมสมบูรณ์
ปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานคร และกรุงเทพมหานคร สร้างการสูญเสียทั้งชีวิต
ทรัพย์สิน และสภาพสังคมอย่างใหญ่หลวงและเป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทย
มีการวิเคราะห์ปัญหาการสูญเสียคราวนี้ได้ความว่า
เกิดจากความผิดพลาดทางการจัดการและบริหารน้ำของผู้มีส่วนรับผิดชอบ
นอกเหนือจากมีฝนตกด้วยintensityสูงและพื้นที่ต้นน้ำลำธารไม่มีประสิทธิภาพ
ตามที่เคยเป็นมา ด้วยเหตุดังกล่าว
เอกสารทางวิชาการฉบับนี้จึงได้เรียบเรียงขึ้น
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือนำทางไปสู่การสร้างแนวทางการจัดการ
ตั้งแด่การวิเคราะห์ หาปัญหาและเหตุของปัญหาหลักการและวิธีการแก้ไข
และการสร้างแผนงานการจัดการสุดท้ายคงจะนำไปสู่การบริหารแผนการจัดการน้ำด้อ
ย่างมีประสิทธิภาพไม่มากก็น้อย
๒. ลักษณะพื้นที่รองรับน้ำที่เหมาะสม
พื้นที่จัดการ คือพื้นที่ลุ่มน้ำ(watershed/catchment area)
บางสาขาวิชาเรียกว่าพื้นที่รับน้ำ อย่างไรก็ตาม
พื้นที่จัดการน้ำนี้มีบทบาทหน้าที่แปรสภาพ(transformation
systems)จากน้ำฝนที่เป็นinputให้เป็นน้ำท่า(streamflow)
น้ำซึมผ่านผิวดิน(infiltration/percolation)เพื่อเก็บไว้ในดินเป็นน้ำใน
ดิน(soil
water)และเป็นน้ำบาดาล(groundwater)และสุดท้ายเป็นน้ำคาย
ระเหย(evapotranspiration)จากผิวดินและคายน้ำจากพืช
สัดส่วนของน้ำที่กล่าวแล้วนี้ มีแตกต่างกันไปในธรรมชาติของพื้นที่นั้นๆ
จากประสบการที่ผ่านมาพบว่า
พื้นที่ลุ่มน้ำ/รับน้ำที่มีป่าไม้ปกคลุมอย่างสมบูรณ์
ลำห้วยลำธารจะมีน้ำตลอดปี (perennial stream)
ถ้าพื้นที่ถูกทำลายและส่วนที่เหลือถูกรบกวนมาก จะมีลำธารintermittent
stream.ยิ่งป่าปกคลุมมากจนเหลือประมาณหนึ่งในสามของพื้นที่ลุ่มน้ำแล้ว
ลำธารจะเป็น ephemeral stream คือมีน้ำภายหลังฝนตกไม่นานด้วยลักษณะดังกล่าว
ทำให้นำไปสู่แนวคิดว่า
ควรจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างไรจึงจะทำให้มีน้ำไหลตลอดปีอย่างสม่ำเสมอ
โดยให้ได้ปริมาณและคุณภาพตามที่ต้องการนอกเหนือจากเวลาการไหล(flow
regime)ดังกล่าวแล้ว
หลักการสำคัญของการจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำหรือพื้นที่รองรับน้ำคือการควบคุม
การใช้ที่ดิน(land use control)
เพราะการใช้ที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสิ่งปกคลุมดิน(land cover
change) เช่นจากป่าไม้ไปสู่พื้นที่เกษตรกรรม จากเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรม
จากป่าไม้ไปสู่การตั้งถิ่นฐานมนุษย์ ฯลฯ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่หนึ่งใด
ย่อมส่งผลต่อการทำลายสมรรถนะการดูดซับ/การเก็บน้ำไว้ในดินและในระดับน้ำ
บาดาล เป็นส่วนน้ำที่ใช้หล่อเลี้ยงลำธารตลอดปี
การทำลายดินนอกจากจะชะล้างผิวหน้าดินไปสู่ที่ราบลุ่มแล้วยังทำลายโครงสร้าง
ของดิน ทำให้ดินขนาดเล็กอุดรูดินและยับยั้งการซึมผ่านผิวหน้าดินของน้ำ
ด้วยพฤติกรรมธรรมชาติดังกล่าวนี้
มนุษย์จึงควรพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บป่าต้นน้ำลำธารให้มากที่สุด
เพื่อให้ช่วยดินร่วนซุย มีช่องว่าง ๓๐-๗๐ ไทรน้อย
ซึ่งเป็นขนาดของรูพรุนของดินที่นอกจากจะเป็นรูพรุนที่เก็บกักน้ำได้ดีแล้ว
ยังมีสมบัติที่เสริมให้soil
particlesดูดซับในลักษณะของการฉาบไว้ด้วยแรงระหว่างsoil particle กับ water
molecules(มีสองขั้ว/dipolar) ด้วยadhesive forces และระหว่างwater
moleculesด้วยแรงcohesive forces รวมแรงทั้งสองเรียกว่าcapillary forces
ซึ่งน้ำที่ถูกดูดยึดด้วยแรงcapillary
forcesนี้สำคัญมากในการที่สร้างบรรยากาศให้น้ำในดินหล่อเลี้ยงลำธารได้ตลอด
เวลาตราบเท่าที่พืชปกคลุมดินหนาแน่น
(ตัวอย่างของการไหลผ่านช่องว่างของ
น้ำด้วย capillary forces ที่เห็นได้ง่ายคือ
น้ำที่ซึมผ่านช่องว่างในกระดาษทิชชู่ขึ้นมาจากผิวน้ำเมื่อเราหย่อนกระดาษ
ทิชชู่ลงไปในน้ำ)
ความจริงแล้ว
การที่จะเก็บป่าไม้ในธรรมชาติเอาไว้อย่างเต็มพื้นที่คงเป็นไปไม่ได้
เพราะมนุษย์ต้องการที่ผลิตอาหารและเส้นใยตลอดจนพลังงาน
จำเป็นต้องใช้พื้นที่ป่าไม้ให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม
แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งการเปลี่ยนแปลง(law of change)
คือพื้นที่ป่าที่ถูกใช้ไปนั้น ต้องไม่ทำให้ปริมาณ คุณภาพ
และเวลาการไหลของน้ำท่าต้องไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าไม่เป็นไปตามนี้แต่มีความจำเป็นแล้ว
ต้องพยายามอย่างยิ่งให้ลดการพังทลายของดิน(decreasing soil
erosion)และถูกพัดพาลงไปที่ราบลุ่ม
แล้วดำเนินการไปตามปรัชญาการจัดการลุ่มน้ำคือ "keep water in soil, keep
soil in place"
จึงเห็นได้ว่าการจัดการพื้นที่รองรับน้ำ/ลุ่มน้ำเป็นงานที่ต้องการให้ทุก
สรรพสิ่งที่เป็นโครงสร้างของพื้นที่รองรับน้ำ/ลุ่มน้ำ
สามารถอยู่กับพื้นที่เกษตร มนุษย์และสรรพสิ่งอื่นๆ
นอกจากให้เป็นไปตามกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้วยังต้องใช้ecological
valuesมากำกับด้วย
จึงจะทำให้ระบบลุ่มน้ำ/ระบบรองรับน้ำเป็นระบบการจัดการน้ำที่มีศักยภาพดี
ตลอดไป
ระบบพื้นที่การจัดการน้ำมิใช่เป็นเพียง
transformation systems เท่านั้นแต่มันยังเป็นระบบผลิตกรรม(production
systems)คือสามารถนำทรัพยากรนำออก-นำเข้าระบบด้วยดังได้กล่าวแล้ว
และมันสามารถเป็นได้อีกบทบาทหนึ่งคือเป็นระบบรีไซเคิล (recycling
systems)ได้คือ
เป็นระบบที่สามารถแปรสภาพของเสีย/มลพิษเป็นทรัพยากรที่ใช้ได้
อีก(reproductive resources)
ซึ่งสามารถพบเห็นได้จากพื้นที่ลุ่มน้ำธรรมชาติทั่วไป เช่น
ลุ่มน้ำ/พื้นที่รองรับน้ำแม่ปิง-วัง-ยม-น่าน, เจ้าพระยา, แม่กลอง ท่าจีน,
เพชรบูรณ์, แม่กลอง, บางปะกง ฯลฯ
ล้วนแต่มีบทบาทหน้าที่(function)เป็นได้ทั้งสามบทบาทหน้าที่คือ production,
transformation, และ recycling systems ด้วยบทบาทหน้าที่ทั้งสามนี้
จึงทำให้ระบบลุ่มน้ำ/รองรับน้ำมีความสามารถคงสภาพอยู่ได้ด้วยตัวเองถ้าไม่
ถูกรบกวนหรือเปลี่ยนแปลง self regulation, self reliance, self
maintenance, self recovery, ฯลฯ
จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของการจัดการพื้นที่เป็นสำคัญ
๓. หลักการจัดและการวางแผนการจัดการพื้นที่รองรับน้ำท่วม
การจัดการพื้นที่รองรับน้ำ/พื้นที่ลุ่มน้ำซึ่งเป็นระบบ
อันประกอบด้วยโครงสร้าง(ชนิด ปริมาณ สัดส่วน
และการกระจาย)และบทบาทหน้าที่(movement, productivity, reproduction, และ
regeneration) ดังนั้น การจัดการลุ่มน้ำจึงเป็นการจัดการระบบลุ่มน้ำ
เป็นระบบที่มีหน้าที่หรือบทบาทหน้าที่ต่อการจัดการน้ำ
และเป็นการจัดการtransformation systemsที่ให้น้ำฝนแปรสภาพเป็นน้ำท่า
น้ำในดิน น้ำบาดาล และน้ำคายระเหย
แล้วน้ำฝนส่วนนี้ก็ไหลออกจากพื้นที่ลุ่มน้ำที่ปากลุ่มน้ำ(mouth)
สุดท้ายก็ออกสู่พื้นที่รับประโยชน์หรือออกสู่ทะเล อย่างไรก็ตาม
สรรพสิ่งในระบบลุ่มน้ำสามารถแบ่งตามบทบาทหน้าที่(functional groups)คือ
ผู้ผลิต(producers) ผู้บริโภค(consumers) ผู้ย่อยสลาย(decomposers)
และผู้สนับสนุน(supporters)
ถ้ามีโครงสร้างของแต่ละกลุ่มบทบาทหน้าที่ครบและได้สัดส่วนกันแล้ว
ระบบรองรับน้ำ/ลุ่มน้ำทำหน้าที่ในการจัดการน้ำที่เข้าสู่ระบบตามศักยภาพพี่
จะรองรับน้ำฝนที่จำกัด ดังนั้น
การจัดการระบบรองรับน้ำ/ลุ่มน้ำจึงต้องจำกัดจากขนาดของฝนโดยใช้โอกาสการเกิด
ขนาดฝน(storm probability) เช่น ฝน ๕๐ ปี
หมายความว่าขนาดของฝนที่มีโอกาสเกิดหนึ่งครั้งภายใน ๕๐ ปี เป็นต้น
หรืออาจใช้ขนาดของน้ำท่าที่จะไหลเข้าสู่ระบบจัดการน้ำ เช่น น้ำท่า ปี ๒๕๕๔
จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ MCM จากภาคเหนือผ่านภาคกลางลงมาท่วมกรุงเทพมหานคร
กรณีเช่นนี้ ระบบจัดการน้ำกรุงเทพมหานคร ต้องมีลำน้ำและแก้มลิง
ซึ่งเป็นกลุ่มหน้าที
"ผู้ผลิต"ของระบบรองรับปริมาตรน้ำท่าและน้ำหลากที่ไหลต่อเนื่องได้อย่าง
เพียงพอ
ด้วยผู้จัดการน้ำที่นำหลักการจัดการน้ำแบบผสมผสานมาใช้ว่าควรจะปล่อยน้ำเข้า
กรุงเทพฯเท่าไร?เวลาใด?ด้วยการเหลื่อมเวลาอันเป็นกลไกการผสมผสานที่น่าจะได้
ผลดี ปราศจากการเกิดอุทกภัย ณ ที่ใดที่หนึ่งของระบบจัดการน้ำนั้นๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ต้องรู้และเข้าใจอัตราการปลดปล่อยน้ำจากดินหรืพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
ถ้ามากเกินที่ระบบจัดการน้ำจะรับได้
ต้องชะลอหรือหน่วงน้ำด้วยการเก็บกักในที่หน่วงน้ำที่ก่อสร้างขึ้น
เช่นอ่างเก็บน้ำ บึงประดิษฐ์หรือแก้มลิง
เมื่อน้ำระบายจากผู้ผลิตคือลำห้วยลำธาร(ที่ได้มีการปรับปรุงสมรรถนะความจุ
เต็มศักยภาพ)แล้ว มิใช่ว่าน้ำจะไหลลงสู่ที่ต่ำกว่าอย่างสะดวกสบาย
ต้องขึ้นอยู่กับ"ผู้บริโภค"ได้แก่ความกว้างของลำน้ำที่ช่วยทำให้การเคลื่อน
ที่ของน้ำคล่องตัวดี แล้วยังขึ้นอยู่กับความยาวของลำน้ำที่สร้างแรงดันกลับ
อาจทำให้น้ำไหลช้าลงสำหรับลำน้ำสั้นๆ
นอกจากนี้การไหลของน้ำท่ายังสัมพันธ์กับความลึกของน้ำและความขรุขระของท้อง
ลำธารอีกด้วย แม้กระนั้นก็ตาม การไหลของกระแสน้ำยังขึ้นอยู่กับ
"ผู้ย่อยสลาย" คือรูปร่างของลำน้ำถ้าเป็น s-shaped riverน้ำจะไหลช้ามาก
น้ำจะค่อยๆไหลไปตามลำน้ำ
กรณีเช่นนี้อาจต้องมีการขุดร่องน้ำช่วยให้น้ำไหลเร็วขึ้นก็ได้
ถ้าลำน้ำเป็นL-shaped riverแล้ว น้ำจะเร็ว
อาจทำเครื่องกีดขวางชะลอความเร็วก็ได้ แต่ถ้าลำน้ำเป็นs-shaped river
และต้องการให้นำไหลเร็ว จำเป็นต้องสร้าง "รอ"
บังคับลำน้ำให้ไหลเข้าร่องน้ำและไม่ทำลายชายฝั่ง
ซึ่งการสร้าง"รอ"คือการสร้างตัว "ผู้สนับสนุน"
เช่นเดียวกับการสร้างประตูน้ำ
สร้างถนนให้มีบางส่วนต่ำกว่าระดับถนนทำหน้าที่เหมือนspillway
ถ้ามีน้ำมากก็จะล้นออกไป บางกรณีสร้างdiversion dam
ยกระดับน้ำให้สูงเพื่อให้การไหลของน้ำดีขึ้น
กรุงเทพมหานครก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งของการก่อสร้าง
"ผู้สนับสนุน" ซึ่ง
สนับสนุนให้การเคลื่อนที่ของน้ำที่สูบออกจากใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว
การนำแนวคิดการจำแนกกลุ่มโครงสร้างของระบบจัดการน้ำมาประยุคใช้
เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่า การทำความเข้าใจนี้
เชื่อว่าจะช่วยทำให้ผู้จัดการนำไปวางแผนงานการจัดการน้ำที่มีความพร้อมด้าน
เครื่องมือ แต่ต้องไม่ลืมว่า แผนงานการจัดการน้ำท่วมครั้งนี้
ต้องเป็นแผนเฉพาะพื้นที่ คือมีทั้ง ต้นลุ่มน้ำ กลางลุ่มน้ำ ปลายลุ่มน้ำ
และการใช้น้ำ
และต้องสัมพันธ์ระหว่างแผนเฉพาะพื้นที่อย่างกลมกลืนและเป็นรูปธรรม
พร้อมต้องกำหนดหน่วยงาน/ตัวบุคคลเป็นผู้รับผิดชอบเป็นแผนๆและเป็นพื้นที่ๆไป
อย่าให้เกิดช่องว่างในการจัดการเลย
๔. การบริหารจัดการน้ำท่วม
ผลสัมฤทธิ์ของการจัดการน้ำจะขึ้นอยู่กับการบริหาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างยุทธศาสตร์การจัดการ อย่างไรก็ดี
การกำหนดยุทธศาสตร์แบ่งความรับผิดชอบเป็นต้นน้ำ กลางลุ่มน้ำ ปลายน้ำ
และการใช้น้ำ ได้รับความสำเร็จมาแล้วหลายๆลุ่มน้ำและในหลายๆประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ได้รับความสำเร็จก็คือ การวางแผนการจัดการน้ำแบบผสมผสาน
และเป็นการผสมผสานแบบ "streamline integration" (อาจมีการใช้วิธีผสมผสาน
infusing, infusion, co-ordinating, technological, และ time and space
integrations มาใช้ได้บ้าง ณ จุดใดจุดหนึ่งก็ได้)
รวมถึงการนำตัวกลไกการผสมผสานทั้งสี่ลักษณะคือ overlapping, co-sharing,
linking, และ rearrangement techniques)ในการเชื่อมโยงกับ main streamline
ของเส้นงานหลักของการจัดการอย่างไรก็ตาม
แผนงานการจัดการน้ำแบบผสมผสานและกระบวนการทำงานที่ได้สร้างขึ้น
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่นักบริหารต้องดำเนินตามขั้นตอน ถ้ามีปัญหา ณ
จุดใดจุดหนึ่งหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งแล้ว
ต้องกลับไปดู"alternatives"ที่ได้วางแผนไว้แล้ว อย่าทำอะไรตามความรู้สึก
ขอให้ทำตามหลักการที่ได้ศึกษาไว้แล้วเมื่อครั้งศึกษาสถานภาพของระบบจัดการ
น้ำหรือการวิเคราะห์ระบบแล้ว
การใช้ประสบการณ์แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ผู้บริหารที่มีประสบการณ์สามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ได้ไม่ยากนัก
ประสบการณ์การบริหารจัดการน้ำท่วมปี พ.ศ.๒๕๕๔ ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
มีตัวชี้ที่บ่งบอกการไม่ได้รับความสำเร็จได้แก่
การเกิดน้ำท่วมทุกจังหวัดที่น้ำผ่าน
รวมถึงความหายนะของการสูญเสียเป็นแสนๆล้านบาทของเจ็ดนิคมอุตสาหกรรม
ทรัพย์สินของทางราชการและเอกชน
แนวทางการจัดการไม่เป็นไปตามอุปนิสสัยของน้ำที่ต้องไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ
แนวทางการจัดการที่ถูกต้องต้องให้มันไหลลงสู่ทางน้ำธรรมชาติและตามความ
สามารถของการระบาย ถ้ามีน้ำส่วนเกินเกิดขึ้น
ควรต้องหาที่หน่วงน้ำไว้ชั่วคราว ณ แก้มลิงธรรมชาติและที่สร้างขึ้น
อาจต้องขุดร่องน้ำเพิ่มเพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำให้มากขึ้น
การทำงานอย่างผสมผสานทั้งแนวตั้ง(งานที่ทำตามแนวน้ำเคลื่อนที่จากจุดเริ่ม
ต้นถึงสุดท้ายสัมพันธ์กันและกันอย่างกลมกลืน)
และแนวนอน(ทำงานให้สัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนระหว่างงานแนวตั้ง)
ดังได้กล่าวแล้วว่า การแบ่งเขตความรับผิดชอบที่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และ
การใช้น้ำน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องสำหรับการเกิดน้ำท่วมครั้งประวัติ
ศาสตร์นี้
ข้อสังเกตจากภาวะน้ำท่วมปี พ.ศ.๒๕๕๔
เห็นว่ามีหลายประเด็นที่อาจเป็นต้นเหตุของความล้มเหลวของการจัดการน้ำท่วม
ประเด็นแรกขาด
การผสมระหว่างหน่วยงาน ยกตัวอย่างเช่น
ปริมาณน้ำท่าและน้ำหลากที่เกิดขึ้นไม่มีการกล่าวถึง(มีการกล่าวถึงภายหลัง
เกิดอุทกภัยมาแล้วมากกว่าหนึ่งอาทิตย์)
ตัวเลขปริมาณน้ำนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจัดการ มีคำพูดแบบนามธรรมคือ
"มวลน้ำ" ที่อยากจะทราบปริมาณที่แน่ชัดก็คือ การจัดการทรัพยากรนั้น
ผู้จัดการต้องสามารถให้"ขนาด"หรือ quantificationให้ได้ก่อนจะวางแผนงาน
ประเด็นที่สองผู้
นำและผู้จัดการระดับสูงขาดความรู้และประสบการณ์
ต่างคนต่างคิดต่างสั่งการต่างพูดฯลฯ
ทำให้เกิดการสับสนของประชาชนและผู้ประสบภัย
มีนักวิชาการเป็นกรรมการ/ที่ปรึกษา
บุคคลเหล่านั้นเกือบทั้งหมดขาดความเชื่อถือทางวิชาการ
น่าจะมาร่วมงานเพราะการเมือง แต่นักการเมืองก็ไม่ได้ให้ความเชื่อถือเช่นกัน
ด้วยเหตุดังกล่าว
สื่อทุกสาขาโดยเฉพาะทีวีจึงหันไปพึ่งนักวิชาการในมหาวิทยาลัย จากผู้เกษียณ
จากผู้มีประสบการณ์ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสับสนมากยิ่งขึ้นแต่ค่อนข้างจะเชื่อนัก
วิชาการจากทีวีมากกว่า
ประเด็นที่สามขาดการผสมผสาน
อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น การปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ ป่าสัก
ฯลฯ ทุกเขื่อนปล่อยพร้อมกันและปล่อยปริมาณน้ำที่มาก ผลก็คือ
สร้างปัญหายิ่งมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
อีกเรื่องหนึ่งคือการปิดเปิดประตูน้ำเพื่อการบังคับทางเคลื่อนที่ของน้ำหลาก
ข่าวว่า เพราะเหตุทางการเมืองเป็นเหตุ
แม้แต่ผู้แทนราษฎรของพรรครัฐบาลเองก็ขัดขวางเพราะไม่อยากเสียคะแนนเสียง
และที่ กทม. ก็บริหารโดยพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
ประเด็นที่สี่ระบบ
ระบายน้ำทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครมีระบบการระบายน้ำที่เสื่อมโทรม
ตื้นเขินเพราะมีตะกอนสะสมอันเป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายของสิ่งปนเปื้อนใน
น้ำหลาก ฝั่งน้ำพังทลาย
มีสิ่งก่อสร้างขวางการเคลื่อนที่ของน้ำหลากทุกๆเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานครที่ทุกคลอง(๑๑๗คลอง)ที่เคยลึก ๖ - ๑๐ เมตร
ขณะที่ขุดในรัชสมัยรัชกาลที่สี่-ห้า แต่ปัจจุบันคลองที่ลึกที่สุด ๒ เมตร
ที่เหลือตื้นกว่านี้ทั้งนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า
การระบายน้ำหลากของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจึงไม่เป็นไปตามที่ผู้รับผิดชอบ
แจ้งต่อสารธารณะ
ประการที่ห้าหน่วยงานที่รับผิดชอบยัง
ไม่มีความพร้อมทั้งทางด้านวิชาการ เครื่องมือเละอุปกรณ์ แผนดำเนินงาน
ปริมาณและประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่(โชคดีที่ทุกคนทำงานด้วยจิตสาธารณะ
สูง)และการประสานงานระหว่างหน่วยงาน. ( ต่างคนต่างทำ ) และ
ประการสุดท้ายขาดแม่งานและผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการอย่างมีความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนการมีอำนาจในการสั่งการ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความล้มเหลวทางการบริหารจึงเกิดขึ้นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โดย ศ. ดร.เกษม จันทร์แก้ว
วิทยาลัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผอ.โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น